ACOM ยื่นไฟลิ่งขาย IPO ระดมทุนเข้า SET ชูจุดเด่นผู้นำ “อีคอมเมิร์ซ” ครบวงจร

ACOM ยื่นไฟลิ่งขาย IPO ระดมทุนเข้า SET ชูจุดเด่นผู้นำให้บริการสนับสนุนธุรกิจ “อีคอมเมิร์ซ” อย่างครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในอาเซียน


นายวีระพงษ์ (พอล) ศรีวรกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และผู้ก่อตั้ง บริษัท เอคอมเมิร์ซ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ACOM เปิดเผยว่า บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจมากว่า 8 ปี โดยเป็นบริษัทด้านเทคโนโลยี (Tech Company) ที่เป็นผู้นำการให้บริการสนับสนุนการประกอบธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์หรืออีคอมเมิร์ซอย่างครบวงจรรายใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งพิจารณาจากเกณฑ์ยอดขายสินค้ารวม (GMV) ในปี 2563 ให้แก่ผู้ใช้บริการอีคอมเมิร์ซครบวงจรใน 5 ประเทศ

ได้แก่ ประเทศไทย สาธารณรัฐอินโดนีเซีย สาธารณรัฐสิงคโปร์ สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ และสหพันธรัฐมาเลเซีย โดยมีบริการด้านอีคอมเมิร์ซแบบครบวงจรครอบคลุม ตั้งแต่ การให้คำปรึกษาด้านกลยุทธ์  (E-commerce Strategy Consulting) การพัฒนาร้านค้าออนไลน์ (Webstore Development) การดำเนินการให้ร้านค้าแบรนด์ (Brand Store Operations) การทำการตลาดผ่านช่องทางออนไลน์แบบมุ่งเน้นผลลัพธ์ (Performance Marketing) บริการคลังสินค้าครบวงจร (Warehousing and Fulfillment) การรับชำระเงินและการจัดส่งสินค้า (Payment and Delivery) ศูนย์บริการและดูแลลูกค้า (Customer Care Solutions) และการวิเคราะห์ข้อมูลและการให้ข้อมูลในเชิงลึก (Data Analytics and Insights)

โดยบริษัทฯ ช่วยให้ผู้ใช้บริการอีคอมเมิร์ซครบวงจรสามารถสร้างธุรกิจอีคอมเมิร์ซและขายสินค้าบนช่องทางออนไลน์ขายตรงของแบรนด์ (ร้านค้า brand.com) บนร้านค้าอย่างเป็นทางการบนตลาดซื้อขาย (Marketplaces) หลัก และแพลตฟอร์มสื่อสังคม (Social Media Platform) รายใหญ่ เพื่อสร้างประสบการณ์การซื้อสินค้าแบบไร้รอยต่อผ่านช่องทางต่าง ๆ ที่ยังคงสอดคล้องกับตำแหน่งทางการตลาดของแบรนด์นั้น ๆ

ทั้งนี้ บริษัทฯ มีแพลตฟอร์มเทคโนโลยี (Technology Platform) ของบริษัทฯ ภายใต้ชื่อ ‘EcommerceIQ’ ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้บริการอีคอมเมิร์ซครบวงจรสามารถใช้ประโยชน์จากชุดเครื่องมือที่ครอบคลุมต่างๆ  เช่น การบริหารการจัดจำหน่ายหลายช่องทางการขาย (Channel Management) การจัดการคำสั่งซื้อ (Order Management) การบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์ (Logistics Management) การบริหารจัดการผู้บริโภค (Customer Management) และการวิเคราะห์ข้อมูล (Data Analytics)   เพื่ออำนวยความสะดวกในการทำธุรกรรมอีคอมเมิร์ซและการจัดเก็บข้อมูล

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ SaaS (Software as a Service) ภายใต้ชื่อ ‘EcommerceIQ SaaS’ ในปี 2564 ที่ให้บริการผ่านระบบอินเทอร์เน็ต สำหรับการบริการด้านการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงเพื่อให้ผู้ใช้บริการอีคอมเมิร์ซครบวงจรสามารถทำความเข้าใจผู้บริโภคขั้นปลายและคู่แข่งของตน ทั้งนี้ ณ วันที่ของเอกสารฉบับนี้ ผลิตภัณฑ์ EcommerceIQ SaaS มีคุณสมบัติในการให้การบริการสองรูปแบบ

ได้แก่ บริการข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับตลาด (Market Insight) และบริการวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับผู้ใช้บริการ  อีคอมเมิร์ซครบวงจร (Client Analytics) รวมถึงให้บริการผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์หรือบริการอย่างใดอย่างหนึ่ง  (Value Added Services) ที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจด้านอีคอมเมิร์ซ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในภูมิภาคนี้

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ให้บริการแก่ผู้ประกอบธุรกิจอีคอมเมิร์ซในบนตลาดซื้อขาย (Marketplaces) และแพลตฟอร์มสื่อสังคม (Social Media Platform) เพื่อนำเสนอประสบการณ์แบบไร้รอยต่อแก่ผู้บริโภคที่เลือกซื้อสินค้าของลูกค้าที่ใช้แพลตฟอร์มของบริษัทฯ รวมถึงสร้างยอดขายให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้

เรามีความสัมพันธ์ที่ดีและเป็นพันธมิตรในระดับภูมิภาคกับผู้ใช้บริการอีคอมเมิร์ซครบวงจรซึ่งเป็นแบรนด์ชั้นนำระดับโลกมากมายในหลากหลายกลุ่มสินค้า อาทิเช่น สินค้าอุปโภคบริโภค แฟชั่น ความงามและสินค้าหรูหรา และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์และครัวเรือน เป็นต้น โดยเเบรนด์ชั้นนำต่างประกอบไปด้วย ยูนิลีเวอร์ (Unilever) 3เอ็ม (3M) นารายา (Naraya) ควิกซิลเวอร์หรือบอร์ดไรเดอร์ส (Quicksilver หรือ Boardriders) เรกคิทท์ (Reckitt) ฯลฯ

โดยตามข้อมูลของ Inter Brand ปัจจุบัน บริษัทฯ เป็นผู้ให้บริการแก่กลุ่มผู้ใช้บริการอีคอมเมิร์ซครบวงจรที่เป็นแบรนด์ระดับโลกที่มีมูลค่าสูงสุดถึง 14 แบรนด์จากลำดับ 100 แบรนด์แรกในปี 2564  บริษัทฯ มีการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มขีดจำกัดการเชื่อมต่อข้อมูลและเพิ่มความสามารถการให้บริการใหม่ๆ

รวมถึงการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกนำมาสู่การเพิ่มยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ ณ สิ้นไตรมาส 3/2564 บริษัทฯ มีผู้ใช้บริการ  อีคอมเมิร์ซครบวงจร120 ราย บริหารจัดการสินค้ากว่า 35,574 รายการ และมีให้การอำนวยความสะดวกแก่ธุรกรรมอีคอมเมิร์ซ โดยมีมูลค่าคำสั่งซื้อเฉลี่ย (Average Order Value)  1,305.6 บาทต่อออเดอร์ โดยในงวดสิบสองเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2564 บริษัทฯ ได้ให้การบริการแบบครบวงจรแก่คำสั่งซื้อสินค้ากว่า 7.8 ล้านรายการ คิดเป็นยอดขายสินค้าจากต้นทางไปยังปลายทาง (EMV) กว่า 9,500.2 ล้านบาท และนับตั้งแต่การเริ่มประกอบกิจการ บริษัทฯ ได้เชื่อมต่อผู้ใช้บริการอีคอมเมิร์ซครบวงจรกับผู้บริโภคขั้นปลายแล้วกว่า 11.6 ล้านราย” นายวีระพงษ์ กล่าว

นายวีระพงษ์ กล่าวอีกว่า บริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์การเติบโต 6 ส่วน เพื่อรองรับการขยายธุรกิจ ได้แก่ 1.มุ่งพัฒนาความเป็นพันธมิตรและการบูรณาการกับแบรนด์ที่มีอยู่ (การขายผลิตภัณฑ์อื่นเพิ่ม (Cross Sell) และการเพิ่มยอดขาย (Upsell)) 2.ขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อพัฒนาแพลตฟอร์ม EcommerceIQ และบริการที่มีอยู่ เช่น เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการคำสั่งซื้อให้มีความซับซ้อนมากยิ่งขึ้น 3.ขยายเครือข่ายเเละขอบเขตการให้บริการในพื้นที่ภูมิศาสตร์ใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ 4.ขยายฐานผู้ใช้บริการอีคอมเมิร์ซครบวงจรรายใหม่ที่เป็นแบรนด์ชั้นนำระดับโลก และขยายเข้าไปยังกลุ่มใหม่ของธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์หรืออีคอมเมิร์ซ

รวมถึง 5.การพัฒนาแพลตฟอร์ม EcommerceIQ SaaS เพื่อดึงดูดผู้ใช้บริการ  อีคอมเมิร์ซครบวงจรรายใหม่และตลาดใหม่ที่เป็นไปได้ทั้งหมดของบริษัทฯ และ 6.การหาพันธมิตรเชิงกลยุทธ์และการเข้าซื้อกิจการเพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ การได้มาซึ่งเทคโนโลยีใหม่ๆ และส่งเสริมธุรกิจเดิมและ/หรือการขยายธุรกิจเข้าไปในพื้นที่ภูมิศาสตร์หรือตลาดใหม่

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ เติบโตอย่างต่อเนื่องควบคู่กับการขยายตัวของธุรกิจอีคอมเมิร์ซในภูมิภาค โดยรายได้รวมในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด จาก 2,988.5 ล้านบาทในปี 2561 เป็น 4,601.5 ล้านบาทในปี 2562 และเป็น 7,292.8 ล้านบาทในปี 2563 คิดเป็นอัตราเติบโตเฉลี่ยร้อยละ 56.2 ต่อปี และรายได้รวมสำหรับงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน เพิ่มขึ้นจาก 5,232.7 ล้านบาทในปี 2563 เป็น 6,339.7 ล้านบาทในปี 2564 คิดเป็นอัตราเติบโตร้อยละ 21.2 ต่อปี

ขณะเดียวกัน Operating EBITDA (กำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี กำไรและขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย) ก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน จาก (790.3) ล้านบาทในปี 2561 เป็น (478.4) ล้านบาทในปี 2562 และเป็น 111.7 ล้านบาทในปี 2563 และสำหรับงวดเก้าเดือนสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน จาก 113.0 ล้านบาทในปี 2563 เป็น (120.2) ล้านบาทในปี 2564 ซึ่งเป็นผลมาจากการขยายกิจการโดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง

“จากข้อมูลของ Euromonitor คาดการณ์ว่ามูลค่าธุรกรรมอีคอมเมิร์ซในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จะมีอัตราเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ร้อยละ 19.8 ต่อปี ตั้งแต่ปี 2563-2568 จากยอดขายสินค้ารวม (GMV) ที่ 52.3 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2563 เป็นยอดขายสินค้ารวม (GMV) ที่ 129.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ ภายในปี 2568 จากการเปลี่ยนพฤติกรรมซื้อสินค้าทางออนไลน์เพิ่มขึ้น โดยมี COVID-19 เป็นปัจจัยเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม ทำให้บริษัทฯ มีอัตราการเติบโตของยอดขายสินค้าจากต้นทางไปยังปลายทาง (EMV) ต่อปีในปี 2563 ถึงร้อยละ 85.7 เมื่อเปรียบเทียบกับปี 2562 เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของปริมาณคำสั่งซื้อร้อยละ 69.6 และมูลค่าคำสั่งซื้อโดยเฉลี่ย (Average Order Value) ร้อยละ 9.5” นายพอล กล่าว

นางสาว วีณา เลิศนิมิตร ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า ACOM มีจุดแข็งด้านการให้บริการการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซอย่างเต็มรูปครบวงจร (end-to-end ecommerce) แบบผ่านแพลตฟอร์ม Ecommerce IQ และผลิตภัณฑ์ซอฟต์แวร์ Ecommerce IQ SaaS อำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้บริการในการทำธุรกรรมอีคอมเมิร์ซที่มีความซับซ้อน การบริการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกที่มีเอกลักษณ์โดยมีการปรับรูปแบบให้เหมาะสมตามความต้องการของผู้ใช้บริการอีคอมเมิร์ซครบวงจรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีเทคโนโลยีที่มีการเชื่อมต่อและสามารถปรับขยายรองรับการทำธุรกรรมขนาดใหญ่ ช่วยให้วางกลยุทธ์การทำการตลาดออนไลน์ในกลุ่มประเทศภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวม 5 ประเทศ

ขณะที่ขีดความสามารถของบริษัทฯ ส่งผลให้สามารถเข้าเป็นพันธมิตรระดับภูมิภาคที่สำคัญของผู้ใช้บริการอีคอมเมิร์ซครบวงจรกับองค์กรระดับโลก ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบข้อมูลแสดงรายการการเสนอขายหลักทรัพย์ (ไฟลิ่ง) ต่อสำนักงาน ก.ล.ต. เพื่อขออนุมัติเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ในวันที่ 13 ธันวาคม 2564 จำนวนไม่เกิน 1,942,422,738 หุ้น (มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท)

ประกอบด้วย (1) หุ้นสามัญเพิ่มทุนที่เสนอขายโดยบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 971,211,369 หุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 20.0 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ (2) หุ้นสามัญเดิมที่เสนอขายโดยเอคอมเมิร์ซ กรุ๊ป ลิมิเต็ด จำนวนไม่เกิน 971,211,369 หุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 20.0 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ โดยจะนำเงินจากการระดมทุนไปใช้เป็นเงินทุนเพื่อการเข้าซื้อกิจการที่อาจมีขึ้นในอนาคตลง ทุนในแพลตฟอร์ม EcommerceIQ และเทคโนโลยีด้านอื่นๆ พัฒนาผลิตภัณฑ์ EcommerceIQ SaaS และเป็นเงินทุนหมุนเวียนโดยทั่วไป

Back to top button