PEACE โชว์ศักยภาพผู้นำ “แนวราบ” ไทย รุกพัฒนาโครงการใหม่รับศก.ฟื้น
PEACE โชว์ศักยภาพผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบชั้นนำของไทย ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Prosperous Living with PEACE” พร้อมรุกพัฒนาโครงการใหม่รับจังหวะเศรษฐกิจฟื้นตัว
นายประสพศักดิ์ ศิริโสภณา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีซแอนด์ลีฟวิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ PEACE เปิดเผยว่า บริษัทฯ เป็นผู้เชี่ยวชาญการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบที่มีประสบการณ์มากว่า 27 ปี โดยเริ่มต้นจากการพัฒนาโครงการสไตล์รีสอร์ทในจังหวัดกาญจนบุรี นำความร่มรื่นมาสู่ใจกลางเมืองด้วยการจัดการที่มีประสิทธิภาพ และหัวใจที่เข้าใจผู้บริโภคอย่างแท้จริง ภายใต้คอนเซปต์ Prosperous Living with PEACE เพื่อมอบประสบการณ์การใช้ชีวิตเพียบพร้อมและสงบสุขแก่ผู้อยู่อาศัย ผ่านแนวทางดำเนินธุรกิจ เน้นการสร้างบ้านที่มีคุณภาพดีที่สุดสำหรับลูกค้าแต่ละกลุ่ม ในราคาที่เหมาะสม
รวมถึงให้ความสำคัญกับการสร้างสรรค์ผลงานคุณภาพในทุกขั้นตอน มีการวางรากฐานนิติบุคคลหมู่บ้านให้แก่ลูกบ้านและมีบริการหลังการขาย เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกบ้าน จากแนวคิดดังกล่าว ส่งผลให้บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ได้รับความเชื่อถือ มีผลประกอบการสม่ำเสมอ และมีการบริหารพอร์ตสินค้าคงเหลือได้เป็นอย่างดี จึงสามารถขายบ้านและปิดการขายโครงการที่ผ่านมาได้ครบทั้งหมด
โดยปัจจุบัน บริษัทฯ เน้นพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบ อาทิ บ้านเดี่ยวระดับสูง และทาวน์โฮมแบบ 2 ชั้น และ 3 ชั้น ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ภายใต้แบรนด์ “The Glamor” “Cordiz” และ “Cher” และแบรนด์ใหม่ล่าสุด คือ “Cherene” และ “CHEREA VICINITY” โดยแต่ละโครงการได้ออกแบบสไตล์โมเดิร์น เน้นบรรยากาศร่มรื่น สงบ มีความเป็นส่วนตัว การเดินทางสะดวกสบาย ครบครันด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก บนทำเลที่ดีตอบโจทย์การใช้ชีวิต ตอบสนองความต้องการผู้บริโภคยุคใหม่อย่างแท้จริง ภายใต้วิสัยทัศน์ขององค์กร คือ การประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ สร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์สินค้า ให้สามารถเติบโตอย่างต่อเนื่อง และยั่งยืนภายใต้หลักธรรมาภิบาลที่ดี โดยคำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม ทั้งลูกค้า ผู้ถือหุ้น พนักงาน คู่ค้า เพื่อให้ทุก ๆ ส่วนได้รับประโยชน์ที่ดีอย่างที่ควร
นายประสพศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า สถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ก่อให้เกิดแนวทางดำเนินชีวิตในรูปแบบใหม่ (New normal) รวมถึงแนวทางการทำงานที่บ้าน หรือ Work from Home ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมอย่างชัดเจน ส่งผลให้ความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน มักมองหาบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม ที่มาพร้อมกับฟังก์ชันในด้านต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การอยู่อาศัยจริง ทั้งในเรื่องหลักอย่าง โลเคชั่น พื้นที่ใช้สอย ดีไซน์ และราคาที่เหมาะสม ส่งผลให้ลูกค้าซื้อที่อยู่อาศัยประเภทแนวราบ เช่น บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮม เป็นต้น ซึ่งมีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าที่อยู่อาศัยประเภทแนวสูงและมีพื้นที่แยกเป็นสัดส่วนมากกว่า
นอกจากนี้ ปัจจัยบวกจากนโยบายการเปิดประเทศของรัฐบาลทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจขยายตัว เอกชนเดินเครื่องธุรกิจเกิดการจ้างงาน ส่งผลให้รายได้ครัวเรือนดีขึ้น มีความมั่นคงในอาชีพ และการผ่อนคลายมาตรการ LTV เป็นการปลดล็อกตลาดอสังหาริมทรัพย์ให้กลับมาคึกคักขึ้น เนื่องจากลูกค้าสามารถกู้ซื้อบ้านได้เต็มมูลค่า ส่งผลให้ประชาชนที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย สามารถกู้ซื้อที่อยู่อาศัยได้เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตามตลาดที่อยู่อาศัยแนวราบถือเป็นการซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง หรือ Real Demand และเป็นการซื้อบ้านหลังแรกเป็นส่วนใหญ่ จึงได้รับผลกระทบน้อยกว่าคอนโดมิเนียม
นายโดม ศิริโสภณา ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานการตลาดและการขาย (CMO) ของ PEACE กล่าวว่า บริษัทฯ ให้ความสำคัญในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เป็นอย่างมาก โดยฝ่ายการตลาดและการขายจะทำการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลภาวะอุตสาหกรรมและวิจัยตลาดอย่างสม่ำเสมอ (Market Research) เพื่อให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของภาวะอุตสาหกรรม สภาวะตลาด การแข่งขันในปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคต เพื่อเข้าถึงข้อมูลกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ความต้องการของผู้บริโภคและความเป็นไปได้ของโครงการ
นอกจากนี้ หน่วยงานวิจัยตลาดจะทำการลงสำรวจพื้นที่เป้าหมายจริง รวมทั้งเก็บข้อมูลนำมาเป็นข้อมูลประกอบการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ให้ตอบโจทย์และสอดคล้องกับความต้องการของลูกค้า และที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เริ่มใช้สื่อประชาสัมพันธ์รูปแบบใหม่ เช่น สื่อออนไลน์ Facebook บทความในเว็บไซต์เกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มลูกค้าในวงกว้าง และกลุ่มคนรุ่นใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
อีกทั้งโครงการของ PEACE ได้พัฒนาและออกแบบบ้านที่ทันสมัยด้วยระบบสมาร์ทโฮม (Smart Home) ที่สามารถควบคุมอุปกรณ์ และระบบภายในบ้าน ผ่านแอปพลิเคชัน พัฒนาระบบบริหารนิติบุคคลบ้านจัดสรรแบบ Smart Community ช่วยให้ลูกบ้านสามารถจัดการการซ่อมแซมบ้านหรือแจ้งปัญหาต่างๆ ได้ผ่านแอปพลิเคชัน รวมถึงศึกษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยนำเทคโนโลยีการก่อสร้างแบบใหม่มาใช้เพื่อบริหารจัดการงานก่อสร้างและบริหารต้นทุนได้มีประสิทธิภาพเโดยเลือกใช้วัสดุที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้สั่งสมประสบการณ์ความเชี่ยวชาญในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แนวราบ จากจุดเริ่มต้นในปี 2532 ที่พัฒนาโครงการประเภทรีสอร์ท ที่จังหวัดกาญจนบุรี และประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้นับจากอดีตถึงปัจจุบันมีการพัฒนาโครงการมาแล้วรวมทั้งสิ้น 25 โครงการ คิดเป็นมูลค่าโครงการรวมกว่า 16,569 ล้านบาท
โดยมีเป้าหมายการปิดการขายโครงการ ภายใน 2 – 3 ปี (สำหรับโครงการที่มีจำนวนยูนิตไม่เกิน 200 ยูนิต) และภายใน 3 – 5 ปี (สำหรับโครงการที่มีจำนวนยูนิตมากกว่า 200 ยูนิต) โดย ณ 30 กันยายน 2564 บริษัทฯ มีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายและโอนกรรมสิทธิ์ 7 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 4,717 ล้านบาท มียอดขายรอโอนกรรมสิทธิ์ (Backlog) 600 ล้านบาท และมีแผนโครงการในอนาคต 3 โครงการ มูลค่ารวมประมาณ 3,045 ล้านบาท