GKBI-KTIS ลงนามสัญญา “NatureWorks” สนับสนุนสาธารณูปโภค-วัตถุดิบ NBC เฟส 2
GKBI-KTIS ลงนามสัญญา “เนเชอร์เวิร์คส์ เอเชีย แปซิฟิก” สนับสนุนสาธารณูปโภค-วัตถุดิบ โครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ระยะที่ 2
บริษัท จีจีซี เคทิส ไบโออินดัสเทรียล จำกัด หรือ GKBI บริษัทร่วมทุนระหว่าง บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ GGC บริษัทแกนนำในธุรกิจผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Flagship Company) ของ GC Group และบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจร ร่วมลงนามสัญญาลงทุนโครงการ Utility Provider และ Infrastructure สำหรับโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ระยะที่ 2 (NBC Phase 2) กับ บริษัท เนเชอร์เวิร์คส์ เอเชีย แปซิฟิก จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ NatureWorks LLC
โดยบริษัท GC International Corporation บริษัทย่อยของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล (จำกัด) มหาชน (GC) และ บริษัท Cargill Incorporated (Cargill) เป็นผู้ถือหุ้นสัดส่วนร้อยละ 50 ในบริษัท NatureWorks LLC (NatureWorks)
ทั้งนี้ การลงนามสัญญาดังกล่าวนับเป็นก้าวสำคัญของโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ ที่จะสามารถสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนจากต่างชาติให้เข้ามาลงทุนในโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ต่อไปในอนาคต โดยโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ระยะที่ 2 มุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าทางการเกษตรต่อยอดสู่อุตสาหกรรมที่มีมูลค่าสูง (High Value Added)
ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เคมีชีวภาพ (Biochemicals) และผลิตภัณฑ์พลาสติกชีวภาพ (Bioplastics) โดยใช้อ้อยเป็นวัตถุดิบ และใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เป็นมิตรกับสังคมและสิ่งแวดล้อม
โดยบริษัท NatureWorks LLC (NatureWorks) ผู้ผลิตพลาสติกชีวภาพรายใหญ่ของโลกจากประเทศสหรัฐอเมริกา ตัดสินใจลงทุนโรงงานผลิตพลาสติกชีวภาพชนิด Polylactic Acid (PLA) โดย GKBI จะเป็นผู้ดำเนินการลงทุนและให้บริการด้านสาธารณูปโภค เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับโรงงาน PLA คาดเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้ตั้งแต่ 1 มกราคม 2565 เป็นต้นไป
ด้านนายประพันธ์ ศิริวิริยะกุล กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม KTIS กล่าวว่า บริษัทมีความภาคภูมิใจที่โครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ ซึ่งเป็นไบโอฮับแห่งแรกของประเทศไทย ได้รับความสนใจเข้ามาลงทุนจากบริษัทที่มีชื่อเสียงระดับโลก ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการที่ก่อประโยชน์ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
โดยทางด้านเศรษฐกิจนั้นจะมีการสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับเกษตรกรและแรงงานในพื้นที่ ที่จะเข้ามาทำงานในโรงงาน ทำให้มีเงินหมุนเวียนในพื้นที่มากขึ้น ด้านสังคมทำให้แรงงานในชุมชนไม่ต้องย้ายถิ่นฐาน ครอบครัวจะเข้มแข็งขึ้น อีกทั้งยังช่วยสร้างงานสร้างรายได้ในภาวะที่แรงงานจำนวนมากได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 และด้านสิ่งแวดล้อมจะเห็นได้ชัดเจนมากตั้งแต่กระบวนการผลิตของโรงงานหีบอ้อยและโรงงานเอทานอลที่ใช้เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด ทำให้ไม่เกิดของเสียออกสู่ภายนอก ไม่ว่าจะเป็นน้ำเสียหรือฝุ่นควันต่างๆ
นอกจากนี้ ยังมี Carbon Credit และการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่จะสร้างความมั่นใจในเรื่องของการลดมลพิษทั้งในไร่อ้อยและในโรงงานอีกด้วย
“โครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์นี้ช่วยเสริมศักยภาพการเติบโตของกลุ่ม KTIS ได้เป็นอย่างดี เพราะนอกจากจะมีการลงนามในสัญญาระหว่าง GKBI กับ NatureWorks ดังกล่าวแล้ว ทางกลุ่ม KTIS ยังได้ลงนามในสัญญาซื้อขายวัตถุดิบกับ NatureWorks เพิ่มเติมอีกด้วย” นายประพันธ์ กล่าว
นายไพโรจน์ สมุทรธนานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอลกรีนเคมิคอล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “การร่วมทุนดังกล่าวในโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ สะท้อนถึงการเป็นผู้นำด้านธุรกิจเคมีชีวภาพของ GGC ทั้งยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้กับบริษัทฯ สำหรับธุรกิจเชื้อเพลิงชีวภาพและเพิ่มโอกาสในการลงทุนต่อยอดธุรกิจเคมีชีวภาพ (Biochemicals) และพลาสติกชีวภาพ (Bioplastic) ในอนาคต
การเข้ามาลงทุนสร้างโรงงานพลาสติกชีวภาพของ NatureWorks ในครั้งนี้ จะทำให้เกิดโรงงานพลาสติกชีวภาพแบบครบวงจรแห่งใหม่ในประเทศไทย ตอบสนองความต้องการใช้วัสดุที่ยั่งยืนให้ตลาดโลก นับเป็นหนึ่งในโครงการที่สนับสนุนโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ BCG Model (Bio-Circular-Green Economy) เพื่อช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจเติบโตแบบก้าวกระโดด ยกระดับความสามารถในการแข่งขัน และขับเคลื่อนให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก (SDGs) ตามเป้าหมายที่วางไว้