KTIS มองผลงานปี 65 โต รับดีมานด์พุ่ง-ปริมาณอ้อยสูงเกินเป้า 20%
กลุ่ม KTIS มั่นใจผลผลิตอ้อยฤดูการผลิตปี 64/65 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนไม่น้อยกว่า 20% ส่งผลดีกับทั้งสายธุรกิจน้ำตาล และสายธุรกิจชีวภาพ ตามการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจในประเทศ
นายประพันธ์ ศิริวิริยะกุล กรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจร เปิดเผยว่า จากการประเมินผลผลิตอ้อยของกลุ่ม KTIS สำหรับฤดูการผลิตปี 2564/2565 ซึ่งจะเข้าหีบในปลายปีนี้ พบว่าได้รับผลดีจากการที่มีปริมาณฝนมากกว่าปีก่อน
โดยคาดว่าจะมีปริมาณอ้อยเพิ่มขึ้นจากปีก่อนไม่น้อยกว่า 20% ตามที่คาดไว้ ซึ่งจะส่งผลดีต่อทุกสายธุรกิจทั้งการผลิตและจำหน่ายน้ำตาล เอทานอล ไฟฟ้า และเยื่อกระดาษจากชานอ้อย ซึ่งจะมีวัตถุดิบเข้าสู่กระบวนการผลิตมากขึ้น ทำให้ผลผลิตของทุกโรงงานเพิ่มขึ้น สร้างรายได้ที่มากขึ้นกว่าปีก่อน
“ถ้าเราได้วัตถุดิบหลักคืออ้อยในปริมาณมากขึ้น รายได้จากการจำหน่ายน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องก็จะดีขึ้นทั้งหมด ประกอบกับดีมานด์ที่สูงขึ้นหลังการผ่อนคลายการควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และกิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัว ก็จะยิ่งส่งผลดีต่อผลการดำเนินงานของกลุ่ม KTIS ในปี 2565 ซึ่งเชื่อมั่นว่าจะสูงกว่าปี 2564 อย่างแน่นอน” นายประพันธ์ กล่าว
นอกจากนี้ ในปี 2565 กลุ่ม KTIS จะเริ่มรับรู้รายได้จากโครงการผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากเยื่อชานอ้อย ซึ่งมีกำลังการผลิตสูงถึง 50 ตันต่อวัน หรือ 3 ล้านชิ้นต่อวัน โดยมีเครื่องจักร 50 เครื่อง ที่สามารถผลิตบรรจุภัณฑ์ออกสู่ตลาดได้หลากหลายรูปแบบ เช่น จาน ชาม กล่อง ถาดหลุม เป็นต้น รวมไปถึงการผลิตและจำหน่ายหลอดชานอ้อยแบรนด์ cherr BY KTIS ที่ได้รับการตอบรับจากตลาดเป็นอย่างดี
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม KTIS กล่าวด้วยว่า รายได้ที่จะเข้ามาเพิ่มเติมอีกส่วนหนึ่งจะมาจากโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ (NBC) เฟส 1 ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท จีจีซี เคทิสไบโออินดัสเทรียล จำกัด หรือ GKBI บริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่ม KTIS และ GGC ซึ่งมีโรงงานผลิตเอทานอลจากน้ำอ้อย กำลังการผลิต 6 แสนลิตรต่อวัน และโรงไฟฟ้า 3 โรง กำลังการผลิตติดตั้งรวม 85 เมกะวัตต์
นายสมชาย สุวจิตตานนท์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม KTIS กล่าวว่า นอกจากปริมาณผลผลิตของทุกโรงงานที่เพิ่มขึ้นแล้ว ราคาขายสินค้าในทุกกลุ่มก็คาดว่าจะยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยราคาน้ำตาลในตลาดโลกยังคงทรงตัวในระดับสูง และจะได้ประโยชน์จากค่าเงินบาทอ่อนอีกด้วย เพราะสัดส่วนของน้ำตาลส่งออกสูงถึง 70-75% ของผลผลิตทั้งหมด ส่วนราคาเอทานอลก็น่าจะไม่ต่ำกว่าปีที่ผ่านมา
“ในส่วนของเยื่อกระดาษชานอ้อยนั้น มีความต้องการสูง เพราะคุณสมบัติของเยื่อชานอ้อยที่นุ่ม ซึมซับได้ดี ทำให้ราคาเยื่อกระดาษชานอ้อยสูงกว่าเยื่อกระดาษจากเยื่อยูคาลิปตัส จึงเชื่อว่าราคาขายจะยังคงดีอย่างต่อเนื่อง และอีกสายธุรกิจที่มีอัตรากำไรค่อนข้างสูงคือการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงชีวมวล ก็คาดว่าจะมีรายได้ที่ดีเช่นกัน เพราะจะมีวัตถุดิบมากขึ้น จากเยื่อชานอ้อยที่มากกว่าปีก่อน” นายสมชาย กล่าว