KUN ลุ้นรายได้ปีนี้ทะลุ 1 พันลบ. ลุยปั้น “คุณาลัย นาวาร่า” คาดเปิดขาย Q3/65
KUN แย้มรายได้รวมจ่อทะลุ 1 พันลบ. แย้มแผนปี 65 ชู “คุณาลัย นาวาร่า” เป็น Flagship แห่งใหม่โซนบางขุนเทียน เชื่อปีแรกมียอดโอน 100 ลบ.
นางประวีรัตน์ เทวอักษร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิลล่า คุณาลัย จำกัด (มหาชน) หรือ KUN เปิดเผยว่า ทิศทางการดำเนินงานในปี 2564 มีอัตราการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา บริษัทฯ มียอดโอนกรรมสิทธิ์แล้วกว่า 900 ล้านบาท และมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือขณะนี้มูลค่ารวมประมาณ 280 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงเดือนธันวาคมนี้ ประมาณ 100 ล้านบาท ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ในไตรมาส 1/2565
ทั้งนี้ บริษัทฯเชื่อว่ารายได้รวมในปี 2564 มีแนวโน้มแตะระดับ 1,000 ล้านบาท ซึ่งเกินเป้าหมายที่วางไว้ และถือว่าเป็นการเติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่ (New High)
นอกจากนี้ บริษัทฯยังมีนโยบายรักษาอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ให้อยู่ในระดับ 10% โดยการมุ่งดูแลและบริหารจัดการค่าใช้จ่ายและต้นทุนให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด โดยในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ มีอัตรากำไรสุทธิที่ 15.7% ขณะที่ยอดขาย (Presale) บริษัทฯ มั่นใจว่า สามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ระดับ 1,500 ล้านบาท
โดยจะเห็นได้จากช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา (มกราคม – พฤศจิกายน 2564) บริษัทฯ มียอดขายสะสมแล้ว ประมาณ 1,370 ล้านบาท ดังนั้นจะเห็นได้ว่าเหลืออีกเพียง 130 ล้านบาท ก็จะได้ตามเป้าที่วางไว้ ดังนั้นในช่วงโค้งสุดท้าย บริษัทฯ วางกลยุทธ์โดยเน้นระบายบ้านพร้อมอยู่ที่หลุดดาวน์ ด้วยการจัดโปรโมชั่นช่วยเหลือค่าใช้จ่ายต่างๆ ในวันโอนกรรมสิทธิ์ และโปรโมชั่นพิเศษอื่นๆ ในแต่ละโครงการ เช่น “ผ่อนบ้านล้านละพัน” เพื่อเป็นการกระตุ้นการตัดสินใจซื้อในช่วงปลายปี ก่อนจะมีการปรับราคาบ้านทั้งพอร์ตในปี 2565 เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนค่าก่อสร้างที่ปรับเพิ่มขึ้น
ขณะที่ภาพรวมธุรกิจในปี 2565 บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายอัตราการเติบโตรายได้รวมเพิ่มขึ้น 15-20% จากปี 2564 พร้อมมองว่าปีหน้าจะเป็นปีแห่งการเก็บเกี่ยวผลกำไรของ KUN อย่างชัดเจน หลังจากที่ได้ลงทุนมาต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา
“แผนงานในปี 2565 บริษัทจะมุ่งเติบโตทางด้านตัวเลขรายได้ แตะระดับ1,000 ล้านบาท และตอกย้ำศักยภาพการสร้างแบรนด์ให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้มีแผนศึกษาการใช้เครื่องมือทางการเงินที่ทันสมัย ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการศึกษาโทเคนดิจิทัล (Digital Token) รวมถึงแผนการนำนวัตกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมาใช้ และการมุ่งสู่ธุรกิจใหม่ๆ เพื่อต่อยอดการเติบโตที่ยั่งยืนในอนาคต” นางประวีรัตน์ กล่าว
นอกจากนี้ ยังกล่าวยอมรับว่า จากสถานการณ์โควิด-19 ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทำให้บริษัทฯมีการปรับ กลยุทธ์การตลาด รวมถึงการออกแบบดีไซน์บ้าน เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ดังนั้นบริษัทฯมองว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ประเภทแนวราบในปี 2565 จะมีการแข่งขันที่สูงขึ้น ทำให้ KUN จึงมุ่งรักษากลุ่มลูกค้าเดิม พร้อมทั้งปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคในแต่ละทำเล
ทั้งนี้ สำหรับโซนทำเลบางบัวทอง บริษัทฯ มุ่งเน้นรักษาแชมป์การเป็นเจ้าตลาด โดยการซื้อที่ดินเตรียมรองรับการพัฒนาโครงการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันมีที่ดินเปล่าสำหรับรองรับการพัฒนาไว้แล้วกว่า 100 ไร่ และสร้างพื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ขณะที่ทำเลโครงการที่ฉะเชิงเทรา เป็นอีกหนึ่งทำเลที่ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตได้เพิ่มขึ้นในอนาคต โดยบริษัทฯ ได้วางยุทธ์ศาสตร์การสร้างเมืองใหม่ ในทำเลดังกล่าวให้เหมือนบางบัวทอง ทั้งนี้เพื่อรองรับการเติบโตที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เพื่อสอดรับกับการยกระดับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จ.ฉะเชิงเทรา สู่การเป็นเมืองที่อยู่อาศัยอัจฉริยะ (Smart City)
ส่วนของโครงการในทิศที่ 3 (ทิศใต้) โซนพระราม 2-บางขุนเทียน ซึ่งมีมูลค่าการลงทุนประมาณ 3,000ล้านบาท ภายใต้ชื่อโครงการ “คุณาลัย นาวาร่า” นั้น จะเป็นอีก 1 แฟลกชิป (Flagship) ที่เป็นทำเลทองอีกหนึ่งเรือธงของ KUN โดยเราจะยกโมเดลยุทธ์ศาสตร์การสร้างเมือง บนพื้นที่ดังกล่าวให้เหมือนแฟลกชิป แห่งแรกคือบางบัวทอง
โดยโครงการดังกล่าวจะเริ่มดำเนินการพัฒนาโครงการ ได้ตั้งแต่ต้นปี 2565 และคาดว่าจะเปิดขายได้ภายในไตรมาส 3/2565 พร้อมทั้งมองว่าทำเลโซนนี้ จะเป็น Blue Ocean ที่ยังคงมีดีมานด์ความต้องการที่อยู่อาศัยในโซนนี้อยู่ ดังนั้นมองว่าจึงเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ KUN จะเข้าไปพัฒนาโครงการในทำเลดังกล่าว โดยในปี 2565 บริษัทฯ ตั้งยอดโอนสำหรับโครงการนี้ไว้ประมาณ 100 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม จากแผนกลยุทธ์ดังกล่าวจะเห็นได้ว่า บริษัทฯ ได้เตรียมความพร้อม เพื่อรองรับการเติบโต ด้วยการเตรียมโครงการไว้รองรับการขายในอนาคต โดยล่าสุดบริษัทฯ จะมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา รวมถึงที่ดินเตรียมพัฒนา และที่ดินเปล่าที่บริษัทฯ ได้วางมันจำไว้แล้ว รวมมูลค่าเกือบ 10,000 ล้านบาท ซึ่งมูลค่าดังกล่าวจะสามารถรองรับการเติบโตในอนาคตได้ภายในระยะเวลา 5-7 ปีข้างหน้า