“คันทรี่กรุ๊ป” จัดกลยุทธ์ลงทุนสัปดาห์นี้ ชู 8 หุ้นเด่น รับประโยชน์ราคาหมูพุ่ง-ช็อปดีมีคืน
“คันทรี่กรุ๊ป” จัดกลยุทธ์ลงทุนสัปดาห์นี้ แนะสะสม 8 หุ้นเด่น รับประโยชน์ราคาหมูพุ่ง-ช็อปดีมีคืนหนุน CPF BBL นำทีมเด่นสุด ฟากตลาดหุ้นโลกคลายกังวล “โอมิครอน” ส่วนไทยต้องติดตามใกล้ชิด ประเมินกรอบ SET สัปดาห์นี้แกว่ง 1,645-1,660 จุด
บริษัท หลักทรัพย์ คันทรี่ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้(4 ม.ค.64) ว่า สัปดาห์แรกของการลงทุนในปี 2565 เรื่องของ Omicron มีปัจจัยบวกและปัจจัยลบผสมผสานกัน สำหรับปัจจัยบวกปรากฎว่าการเสียชีวิตจาก Omicron ค่อนข้างต่ำ อิงข้อมูลการติดเชื้อจากสหรัฐช่วงสิ้นปี 2564 ราว 29 ธ.ค. พบผู้ติดเชื้อทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ราว 4.89 แสนราย
อย่างไรก็ตามข้อมูลการเสียชีวิตรายวันล่าสุด เฉลี่ยต่อวันจะอยู่เพียง 1-2 พันรายหรือคิดเป็นอัตราการเสียชีวิตจากติดเชื้อที่ 0.4% ขณะเดียวกันฝรั่งเศสที่พบผู้ติดเชื้อสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 2.2 แสนราย แต่การเสียชีวิตยังแกว่งอยู่ระดับต่ำราว 100 – 200 รายต่อวันและยังไม่ทำระดับสูงสุดใหม่เหมือนจำนวนการติดเชื้อ
ด้านปัจจัยลบ (1) การติดเชื้อทั่วโลกที่ทำจุดสูงสุดใหม่ในประวัติการณ์ ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกในภาพรวมและเสี่ยงเผชิญปัญหาอุปทานขาดแคลน (2) ผู้ติดเชื้อ Omicron ในไทยเร่งตัว ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 2 ม.ค. สะสมทั้งหมด 1,551 รายและการติดเชื้อเฉพาะคน ในประเทศได้เร่งตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง ดังนั้นต้องติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดว่าจะเป็นในทิศทางใด หากแกว่งแดนบวกก็เป็นไปได้ว่าตลาดให้น้ำหนักกับความรุนแรงของโรคที่เบาบาง แต่หากแกว่งแดนลบก็ตีความได้ว่าตลาดกังวลกับสถานการณ์การระบาด
โดยปัจจัยสัปดาห์นี้ได้แก่ (1) โครงการช็อปดีมีคืนได้เริ่มมาตรการตั้งแต่ 1 ม.ค. 2565 มองเป็นบวกต่อกลุ่มที่ขายสินค้าและบริการที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่ม อาทิ ค้าปลีก (BJC CPALL CRC DOHOME HMPRO ILM) ร้านอาหาร (CENTEL M MINT) (2) ประชุม OPEC+ ในวันจันทร์ ตามแผนของที่ประชุมจะมีการใส่กำลังการผลิตเข้ามาราว 4 แสนบาร์เรล / วัน หากเป็นไปตามนี้ก็เชื่อว่าผลกระทบต่อราคาน้ำมันจำกัด แต่หากปรับเพิ่มกำลังการผลิตมากกว่า 4 แสนบาร์เรล / วัน จะเป็นลบกับราคาน้ำมัน (3) ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐในวันพฤหัสบดี อาทิ PMI ภาคบริการจาก ISM Bloomberg คาดที่ 67.2 และวันศุกร์สำหรับภาคแรงงานสหรัฐ Bloomberg คาดการจ้างงานนอกภาคเกษตรที่ 4.1 แสนตำแหน่งและอัตราการว่างงานที่ 6% เชื่อว่าตลาดอยากเห็นตัวเลขที่ไม่ร้อนแรงจนเกินไปเพื่อ ให้ FED ยังไม่เร่งรีบใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดจนเกินไป ส่วนปัญหาราคาหมูแพงเราคาดว่าราคาจะยังยืนระดับสูงเช่นนี้ไปอีก 3-6 เดือนจากนั้นจะเริ่มเห็นอุปทานใหม่เข้ามา
ซึ่งล่าสุดรัฐบาลเริ่มเข้ามาดูแลด้วยการควบคุมต้นทุนผลิตสนับสนุนการพัฒนาวัคซีนหมูเพื่อลดอัตราการสูญเสียหมูจากโรคระบาดรวมถึงส่งเสริมแหล่งเงินทุนทั้งปลอดดอกเบี้ย , ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อจูงใจให้อุปทานกลับเข้ามามีหุ้นได้ประโยชน์ อาทิ CPF TFG แต่เป็นลบกับหุ้นร้านอาหาร (CENTEL M MINT) ในแง่ต้นทุนที่จะสูงขึ้นกดดันอัตรากำไรขั้นต้นรวมถึงกำไรสุทธิ
โดยประเมินกรอบ SET สัปดาห์นี้ที่ 1645-1660 จุด กลยุทธ์การลงทุนสำหรับระยะสัปดาห์แนะหุ้นได้ประโยชน์จากราคาหมูปรับตัวขึ้น อาทิ CPF TFG (Laggard จะเป็น CPF) รวมถึงที่ได้ประโยชน์จากช็อปดีมีคืน อาทิ ค้าปลีก (BJC,CPALL,COM7,DOHOME GLOBAL,HMPRO) ส่วนนักลงทุนระยะกลางยังแนะถือหุ้นต่อไปได้และอาจสะสมเพิ่มใน Laggard Play อาทิ (BBL,BJC ,CPALL,M,MAJOR,PTG)
โดย CPF (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 26 บาท) ได้ประโยชน์จากราคาหมูในประเทศที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งคาดว่าราคาจะยืนระดับสูงเช่นนี้ไปอีก อย่างน้อย 3 เดือน ราคาหมูเฉลี่ยไตรมาส 4/2564 อยู่ที่ 77.3 บาท / กก (โต 11% เทียบไตรมาสก่อนหน้า และ โต 28% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน)
ด้าน BBL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 162 บาท) คาดกำไรของ BBL ในไตรมาส 4/2564 จะเติบโตสูง165%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน (ลดลง 8% เทียบไตรมาสก่อนหน้า จากสำรองหนี้ฯ ที่ลดลงและรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่สูงขึ้น ในปี 2565 เน้นกลยุทธ์การเติบโตในต่างประเทศ และพัฒนาการให้บริการผ่านดิจิตอลแบงกิ้งสร้างรายได้เพิ่มราคาหุ้นยังไม่แพง ซื้อขายที่เพียง 0.4x PBV’22E (-1.5SD ต่อค่าเฉลี่ยย้อนหลัง) และอัตราเงินปันผลราว 4.8% ในปี 2565