ASP มอง SET ไตรมาส 1 ขาขึ้น แนะสะสม 7 หุ้นเด่น เน้นปันผล-พื้นฐานแกร่ง
ASP ประเมินภาพรวมดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วงไตรมาส 1/65 ขึ้นต่อ ลุ้นเป้าทั้งปีเหนือ 1,800 จุด แนะนำซื้อสะสม 7 หุ้นกำไรเด่น-ปันผลสูง
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ ASP กล่าวว่า ในปี 65 ตลาดหุ้นไทยยังมีทิศทางขาขึ้น ประเมินภาพรวมการลงทุนในช่วงไตรมาส 1/65 ตลาดหุ้นไทยยังปรับขึ้นต่อ โดยมีปัจจัยหนุนมาจาก
1.มี Valuation ในเชิงเปรียบเทียบที่น่าสนใจ คือ ตลาดหุ้นไทยมี Forward Market Earning Yield Gap 2565F อยู่ที่ 4.4% สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีย้อนหลังอยู่ที่ 3.9% และสูงกว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ มี Forward Market Earning Yield Gap 2565F จะลดลงเหลือ 3.7% (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต) ภายใต้คาดการณ์การปรับดอกเบี้ยขึ้น 3 ครั้ง
2.สภาพคล่องในประเทศยังเป็นปัจจัยหนุน คาดอัตราดอกเบี้ยไทยจะคงอัตราดอกเบี้ยต่ำ 0.5% ไปตลอดปี และเงินฝากออมทรัพย์และฝากประจำในระบบ รวมกันล่าสุดอยู่ที่ 16.4 ล้านล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์ ถือเป็นปัจจัยหนุน
3.คาดกำไรบริษัทจดทะเบียนไทย (EPS Growth) ในปี 65 อยู่ที่ 9.4 แสนล้านบาท หรืออยู่ที่ 81.8 บาทต่อหุ้น หรือคาดเติบโต 11.2% สูงกว่าประเทศพัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐฯ คาดเติบโต 6% ซึ่งจะเป็นปัจจัยดึงดูดฟันด์โฟลว์
4.คาดการเติบโตเศรษฐกิจไทยปี 65 อยู่ที่ 3.5% เติบโตเพิ่มขึ้นจาก 1% ในปี 64
ด้านนายภราดร เตียรณปราโมทย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ สายงานวิจัย ASP กล่าวว่า ในช่วงต้นปี 65 ตลาดหุ้นไทยอาจมีแรงกดดันช่วงสั้นๆ จากแรงขายกองทุน LTF ของปี 59 ที่ครบกำหนดไถ่ถอนราว 1.6-1.7 หมื่นล้านบาทในเดือนแรกของปี 65 จากเม็ดเงินซื้อสะสมตามมูลค่าตลาด 6.38 หมื่นล้านบาท โดยมีต้นทุนเชิงเปรียบเทียบอยู่ที่ 1,504 จุด
ขณะเดียวกัน มีแรงพยุงจากฟันด์โฟลว์ต่างชาติ ที่เริ่มเห็นโมเมนตัมไหลเข้าตลาดหุ้นไทยมากขึ้นในเดือน ธ.ค. 64 ราว 2.3 หมื่นล้านบาท และเริ่มเห็นการซื้อสุทธิต่อเนื่องในเดือน ม.ค. 65 ประกอบกับกระแสการปรับลดวงเงิน QE และปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐฯ ที่จะส่งผลให้สภาพคล่องในระบบการเงินหดหายไป
สำหรับกรอบดัชนีเป้าหมายปี 65 ที่ 1,810-1,860 จุด ภายใต้ระดับค่าเฉลี่ยของ Market Earning Yield Gap ที่ 3.9% บอลด์ยีลด์อายุ 1 ปี อยู่ในช่วง 0.5%-0.62% โดยอิงตามกรอบบอลด์ยีลด์ 1 ปี
ทั้งนี้ ประเมินว่าเป็นโอกาสดีในการเข้าสะสมหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง เวลาที่ย่อตัวลงมา โดยกลยุทธ์จึงเน้นสะสมหุ้นพื้นฐานดี และที่มีแนวโน้มกำไรเติบโตเด่นในปีนี้ เช่น บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ STEC, บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVL, บริษัท สตาร์ส ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SMT รวมถึงหุ้นปันผลเด่นที่ซึ่งจะมีเกราะป้องกันจากอัตราดอกเบี้ย ได้แก่ บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP, บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO (จ่ายปันผลปีละ 1 ครั้ง) และ บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด(มหาชน) หรือ SCC, บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC (จ่ายปันผลปีละ 2 ครั้ง)
นายฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์ นักเศรษฐศาสตร์ สายงานวิจัย ASP กล่าวถึงปัจจัยที่ยังกดดันตลาดหุ้น คือ ผลกระทบของการแพร่ระบาดโควิดโอมิครอนหลังผู้ติดเชื้อในประเทศสูงขึ้น แต่เชื่อว่าผลกระทบจะจำกัด เนื่องจากเชื่อว่าภาครัฐจะไม่กลับไปล็อกดาวน์แบบเข้มงวดเหมือนในปี 63-64 เนื่องจากสถานการณ์ปัจจัยแวดล้อมในปัจจุบันแตกต่างจากในอดีต ทั้งอัตราการฉีดวัคซีนเข็ม 1-2 ที่สูงราว 70% และท่าทีของรัฐบาลทั่วโลกที่ไม่จำกัดกิจกรรมเศรษฐกิจเข้มงวด แต่เลือกจะจำกัดในบางพื้นที่ โดยรวมเชื่อว่าจะไม่เปิดดาวน์ไซต์ต่อคาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียนไทยปี 65 และคาดการเติบโตเศรษฐกิจไทยปี 65 อย่างมีนัย
“ASP มองว่า GDP ของเศรษฐกิจไทยปีนี้จะเติบโตอยู่ที่ 3.5% โดยการฟื้นตัวจะมาจากการลงทุนเป็นหลัก ส่วนโอมิครอนคงไม่กระทบต่อ GDP เนื่องจากการระบาดในระลอกนี้ ยังไม่เห็นท่าทีของรัฐบาลว่าจะมีการล็อกดาวน์ ประกอบกับเริ่มฉีดวัคซีนอย่างทั่วถึง ดังนั้น ในไตรมาส 1/64 จึงคาดว่า GDP จะอยู่ที่ประมาณ 3.3% ขึ้นไป”
ทั้งนี้ ทิศทางของทั่วโลกต้องเผชิญกับการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้น และปัญหาเงินเฟ้อ ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจมากกว่าการแพร่ระบาดของโอมิครอน จากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ย 3 ครั้งในปีนี้ อย่างไรก็ดี มองว่าการขึ้นดอกเบี้ยของสหรัฐฯ จะไม่ส่งผลกระทบให้ไทยต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยตามไปด้วย เนื่องจากเมื่อย้อนดูสถิติ ดอกเบี้ยไทยไม่ได้ปรับขึ้นตามดอกเบี้ยสหรัฐฯ โดยมองว่าในปีนี้อัตราดอกเบี้ยไทยยังทรงตัวต่ำอยู่ที่ 0.5%
ด้าน น.ส.กฤตยภรณ์ ธาดาสีห์ หัวหน้าฝ่ายลงทุนหลักทรัพย์ต่างประเทศ ASP กล่าวถึงทิศทางการลงทุนในต่างประเทศว่า ชิปประมวลผล ถือเป็นชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่สำคัญสำหรับความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี เปรียบเสมือนสมองของอุปกรณ์ต่างๆ เนื่องจากไม่ว่าจะเป็นอุปกรณ์ใดๆ ก็ตามตั้งแต่ มือถือ คอมพิวเตอร์ เครื่องจักรที่ใช้ในโรงงานอุตสาหกรรม เครือข่ายการสื่อสาร จนไปถึงยานยนต์ ล้วนจำเป็นต้องใช้ชิปในการประมวลผลในการดำเนินงานทั้งนั้น จึงส่งผลให้อุตสาหกรรมชิปประมวลผลทั่วโลกมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่องในทุกๆ ปี
สำหรับปัจจัยสนับสนุนอุตสาหกรรมผลิตชิป ได้แก่ การปรับใช้รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งได้รับการสนับสนุนของรัฐบาลทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนในภาคผู้ผลิต ให้สามารถผลิตรถยนต์ในราคาที่ต่ำลง และมีประสิทธิภาพในการผลิตมากขึ้น รวมถึงการสนับสนุนผู้บริโภคให้เปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น
อีกหนึ่งปัจจัย คือ การเติบโตของธุรกิจ Data Center ซึ่งถูกผลักดันจากการปรับใช้ระบบ Cloud ในด้านของ Artificial Intelligence (AI) และ Machine Learning (ML) รวมถึงการฟื้นตัวของระบบที่จำหน่ายให้กับกลุ่มลูกค้าองค์กร หลังจากองค์กรทั่วโลกจำเป็นต้องอัพเกรดระบบให้ทันสมัยมากขึ้น
นอกจากนี้ Metaverse หรือโลกเสมือนจริง เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลให้อุตสาหกรรมผลิตชิปเติบโตได้ เนื่องจากการใช้งานหลากหลายประเภทใน Metaverse เช่น เล่นเกม ทำงาน ระบบจำลองต่างๆ จำเป็นต้องใช้ชิปประมวลผลจำนวนมหาศาลเพื่อเชื่อมต่อ ภาพ เสียง การควบคุม และประสบการณ์ที่เสมือนจริง
ด้านดัชนีหุ้นกลุ่มผลิตชิปอย่าง Philadelphia Semiconductor ในช่วง 1 ปีย้อนหลังปรับตัวขึ้นกว่า 27.8% ขณะเดียวกันในเชิงของมูลค่าหุ้น Bloomberg Consensus คาดค่า PE คาดการณ์อีก 12 เดือนข้างหน้าของหุ้นกลุ่มนี้อยู่ที่เพียง 20 เท่า ขณะที่กำไรโตหุ้นขยายตัวที่ 37% ดังนั้น ทางเลือกในการลงทุนอุตสาหกรรมผลิตชิปต่างประเทศมีอยู่หลากหลายไม่ว่าจะเป็นหุ้นจดทะเบียนในตลาดหลักๆ อย่างสหรัฐฯ ยุโรป และไต้หวัน ผ่านหุ้นชั้นนำอย่าง Nvidia (NVDA US) ASML (ASML US, ASML NA) และ Taiwan Semiconductor (2330 TT, TSM US) หรือจะผ่านกองทุนรวม ETF อย่าง VanEck Vectors Semiconductor ETF (SMH US) ที่กระจายการลงทุนในหุ้นกลุ่มผลิตชิปจำนวน 25 ตัว
ด้านนายภาดร สุขสวัสดิ์ หัวหน้าฝ่ายที่ปรึกษาด้านกลยุทธ์การลงทุนและผลิตภัณฑ์ ASP มองว่า ในช่วงไตรมาสแรกของปี 65 ภาพใหญ่ของเศรษฐกิจโลก เงินเฟ้อจะยังทรงตัวในระดับที่สูง แม้ว่าปัจจุบันเฟดจะมีท่าทีที่เข้มงวดต่อการใช้มาตรการทางการเงินมากขึ้น ทั้งแนวโน้มการเร่งการลด QE และเร่งการขึ้นดอกเบี้ย และจะเป็นปัจจัยกดดันต่อผู้กำหนดนโยบายทั้งธนาคารกลาง และรัฐบาลสหรัฐฯ
ดังนั้น ทำให้ในระยะข้างหน้าการใช้จ่ายของภาครัฐ ในการใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะต้องชะลอตัวลง รวมถึงการบริโภคของภาคเอกชนก็จะชะลอตัวลงตามจากสัดส่วนหนี้ที่อยู่ในระดับสูง จะส่งผลให้นักลงทุนต้องเจอกับความผันผวนในไตรมาสนี้
ส่วนของกลยุทธ์การลงทุนในไตรมาสแรกของปี 65 จึงมองไปที่การกระจายการลงทุนไปยังตลาดหุ้นในบางภูมิภาคที่ยังมี Valuation ที่ไม่ตึงตัวมาก และยังมีความน่าสนใจในการลงทุน เช่น ในตลาดหุ้นยุโรปและญี่ปุ่น รวมไปถึงตลาดหุ้นจีน ที่เศรษฐกิจและตลาดหุ้นคาดว่าจะผ่านพ้นจุดต่ำสุดไปแล้ว และกำลังอยู่ในช่วงของการฟื้นฟู
รวมไปถึงเลือกลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือก หรือ Thematic ในกลุ่มของ REITs ไทยและสิงคโปร์ ที่ราคายัง laggard REITs ของสหรัฐฯ และยุโรป และกลุ่ม Semiconductor ที่จะได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนผ่านทางเทคโนโลยี ทั้ง 5G และกระแส Metaverse รวมถึงมาตรการสนับสนุนการใช้พลังงานและรถยนต์พลังงานไฟฟ้าของภาครัฐทั่วโลก ได้ส่งผลให้ความต้องการ Semiconductor ซึ่งเป็นชิ้นส่วนที่สำคัญในอุปกรณ์ไฟฟ้าแทบจะทุกชนิด เร่งตัวสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว