“ยูโอบี” รุกซื้อธุรกิจลูกค้ารายย่อย “ซิตี้กรุ๊ป” 4 ประเทศ ดัน EPS-ROE พุ่ง
“ธนาคารยูโอบี” เข้าซื้อธุรกิจลูกค้ารายย่อย “ซิตี้กรุ๊ป” ใน 4 ประเทศ ไทย-อินโดนีเซีย-มาเลเซีย และเวียดนาม หวังดัน EPS-ROE เพิ่มขึ้น คาดดำเนินการแล้วเสร็จช่วงกลางปี 65 - ต้นปี 67
ซิตี้กรุ๊ป เปิดเผยว่า บริษัทบรรลุข้อตกลงในการขายธุรกิจธนาคารกลุ่มลูกค้าบุคคลของซิตี้ ประเทศไทย อินโดนีเชีย มาเลเชีย และ เวียดนาม ให้แก่ กลุ่มธนาคารยูโอบี รวมถึงธุรกิจธนาคารลูกค้าบุคคล (retail banking) และธุรกิจบัตรเครดิต แต่ไม่รวมธุรกิจสถาบันของธนาคารในทั้งสี่ประเทศ ธนาคารยังคงมุ่งมั่นและมุ่งเน้นในการให้บริการลูกค้าสถาบันในตลาดเหล่านี้ทั้งในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และทั่วโลก
โดยข้อตกลงดังกล่าวครอบคลุมพนักงานซิตี้ทั้งหมดประมาณห้าพันคน ซึ่งประกอบด้วยพนักงานธนาคารในธุรกิจกลุ่มลูกค้าบุคคลและพนักงานในส่วนสนับสนุนธุรกิจบุคคล ซึ่งจะโอนไปยังยูโอบีเมื่อเสร็จสิ้นการขาย ข้อตกลงนี้มีมูลค่าตามทรัพย์สินสุทธิของธุรกิจ และขึ้นอยู่กับรายการปรับปรุงเมื่อเสร็จสมบูรณ์ บวกค่าพรีเมียม 915 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ หรือคิดเป็น 690 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
มร.ปีเตอร์ บาเบจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซิตี้กรุ๊ป กล่าวว่า ตนรู้สึกยินดีที่จะประกาศการทำธุรกรรมนี้กับยูโอบี ซึ่งเป็นสถาบันการเงินชั้นนำในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก โดยมั่นใจว่ายูโอบีมีวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็งและมีความต้องการในการเติบโตในระดับภูมิภาค พร้อมที่จะมอบโอกาสที่ดีในการทำงานแก่พนักงานในกลุ่มธุรกิจธนาคารลูกค้าบุคคลของเราในประเทศไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม ขณะเดียวกันบริษัทมีความมุ่งมั่นในการนำเงินทุนที่เกิดจากการทำธุรกรรมนี้ไปใช้ในพื้นที่เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ รวมถึงเครือข่ายสถาบันของเราทั่วเอเชียแปซิฟิก เพื่อขับเคลื่อนธุรกิจและสร้างผลตอบแทนที่ดีที่สุดสำหรับซิตี้
มร.ทีบอร์ พานดิ กรรมการผู้จัดการใหญ่ ซิตี้ ประเทศไทย กล่าวว่า ธุรกรรมนี้เป็นผลดีต่อลูกค้า เพื่อนร่วมงาน และองค์กร ซิตี้มุ่งมั่นที่จะทำให้ธุรกรรมนี้เป็นไปอย่างราบรื่น และในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในการให้บริการแก่ลูกค้าธนาคารกลุ่มลูกค้าบุคคลและลูกค้ากลุ่มบริหารความมั่งคั่ง (wealth management)
ทั้งนี้ประเทศไทยยังคงเป็นตลาดที่สำคัญสำหรับซิตี้ บริษัทดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมานานกว่าครึ่งศตวรรษ และยังคงมุ่งมั่นและมุ่งเน้นให้บริการลูกค้าสถาบันทั้งในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค และทั่วโลก
ขณะที่ธนาคารยูโอบี แถลงว่า ธุรกิจลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ปดังกล่าวมีสินทรัพย์สุทธิรวมทั้งสิ้นประมาณสี่พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ และฐานลูกค้าราว 2.4 ล้านราย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 และมีรายได้ประมาณ 0.5 พันล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 หากไม่รวมค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการดำเนินธุรกรรมนี้ในครั้งเดียว การเสนอซื้อกิจการนี้คาดว่าจะช่วยเพิ่มกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) ของธนาคาร และผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ของธนาคารยูโอบีได้ทันที
โดยการพิจารณาข้อเสนอเงินสดสำหรับการเสนอซื้อกิจการนี้จะคำนวณจากค่าพรีเมียมรวม ซึ่งเทียบเท่ากับ 915 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ บวกกับมูลค่าสินทรัพย์สุทธิของธุรกิจลูกค้ารายย่อยเมื่อการโอนย้ายกิจการเสร็จสมบูรณ์ ธนาคารยูโอบีจะใช้ทุนส่วนเกินของธนาคารเพื่อการเสนอซื้อกิจการครั้งนี้ ซึ่งคาดว่าจะลดอัตราส่วนของเงินกองทุนขั้นที่ 1 (Common Equity Tier 1 หรือ CET1) ของธนาคารลง 0.7% เป็น 12.8% ตามสถานะเงินทุน ณ วันที่ 30 กันยายน 2564 ผลกระทบต่ออัตราส่วน CET1 คาดว่าจะมีไม่มากและจะยังอยู่ภายในข้อกำหนดด้านกฎระเบียบของหน่วยงานกำกับดูแล
สำหรับการเข้าซื้อกิจการในแต่ละประเทศจะเสร็จสมบูรณ์เมื่อได้รับความเห็นชอบจากหน่วยงานกำกับดูแลธนาคารตามเงื่อนไขของแต่ละประเทศ รวมถึงประเทศสิงคโปร์ โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จระหว่างกลางปี 65 ถึงต้นปี 67 ขึ้นอยู่กับความคืบหน้าและผลของกระบวนการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลธนาคาร ซิตี้กรุ๊ปจะทำงานร่วมกับยูโอบีและธนาคารในเครือ (รวมเรียกว่ากลุ่มธนาคารยูโอบี) อย่างใกล้ชิดเพื่อให้การโอนย้ายธุรกิจลูกค้ารายย่อย ทั้งในส่วนของลูกค้าและพนักงานเป็นไปอย่างราบรื่น
มร.วี อี เชียง รองประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารยูโอบี กล่าวว่า การซื้อกิจการลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ปในสี่ประเทศ คือ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ไทย และเวียดนาม นับเป็นโอกาสครั้งใหญ่ที่มาถึงในเวลาที่เหมาะสม ยูโอบีเชื่อในศักยภาพการเติบโตในระยะยาวของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และบริษัทมีวินัยและอดทนรอในการเสาะหาโอกาสที่ใช่เพื่อการเติบโตทางธุรกิจ ในระหว่างการรอความเห็นชอบจากหน่วยงานกำกับดูแลธนาคาร บริษัทมุ่งหวังที่จะโอนย้ายพอร์ตโฟลิโอธุรกิจที่มีคุณภาพของซิตี้กรุ๊ป และเตรียมต้อนรับทีมงาน รวมถึงสร้างคุณค่าให้กับฐานลูกค้า พนักงานและผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต่างๆ ที่ขยายใหญ่ขึ้น
โดยการซื้อกิจการนี้เมื่อรวมกับจำนวนผู้บริโภคของยูโอบีในภูมิภาค จะเป็นการรวมตัวที่ทรงพลังในการขยายธุรกิจของกลุ่มธนาคารยูโอบี และก้าวสู่ตำแหน่งธนาคารชั้นนำระดับภูมิภาคได้อย่างรวดเร็ว
ส่วนกลยุทธ์ธุรกิจรายย่อยของธนาคารยูโอบี ได้แก่การเจาะกลุ่มลูกค้ามั่งคั่งที่เพิ่มขึ้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การรุกกลุ่มคนรุ่นใหม่ผ่าน UOB TMRW แพลตฟอร์มดิจิทัลของธนาคาร และให้บริการด้านการเงินผ่านช่องทางที่หลากหลาย (Omni-channel) เพื่อเพิ่มความมั่งคั่งอย่างต่อเนื่อง การเสนอซื้อกิจการนี้จะขยายเครือข่ายพันธมิตรของยูโอบีและเพิ่มขนาดธุรกิจลูกค้ารายย่อยในทั้งสี่ประเทศขึ้นเป็นสองเท่า เร่งให้บรรลุเป้าขยายฐานลูกค้าในภูมิภาคเร็วขึ้นถึงห้าปี
ด้านธุรกิจลูกค้ารายย่อยของซิตี้กรุ๊ปมีพนักงานประมาณ 5,000 คน ซึ่งรวมถึงผู้บริหารระดับสูงและทีมงานมากประสบการณ์ การเข้ามาร่วมงานกับธนาคารยูโอบีจะเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มธนาคารยูโอบี ซึ่งกลุ่มธนาคารยูโอบีพร้อมที่จะต้อนรับลูกค้าและพนักงานของซิตี้กรุ๊ป ซึ่งจะได้รับข้อมูลความคืบหน้าของการเสนอซื้อกิจการในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า