SCGP ปักธงปี 65 รายได้ 1.4 แสนลบ. เดินหน้าทำ M&P ต่อเนื่อง
SCGP ปักธงปี 65 รายได้ 1.4 แสนลบ. รับรู้รายได้จากการควบรวมกิจการเต็มปี ตั้งงบ 5 ปีที่ 1 แสนลบ. เดินหน้าทำ M&P เพิ่ม พร้อมขยายกำลังผลิตต่อเนื่อง คาดปี 68 มีรายได้เกิน 1.8 แสนลบ.
นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้จากการขายปี 65 เติบโตแตะ 140,000 ล้านบาท จากปีก่อนทำได้ 124,233 ล้านบาท จากการรับรู้รายได้เข้ามาเต็มปีของการควบรวมกิจการในปีที่ผ่านมา ประกอบด้วย การเข้าซื้อหุ้นในสัดส่วน 70% ของ Duy Tan Plastics Manufacturing Corporation (Duy Tan) ซึ่งเป็นผู้ผลิตสินค้าบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบคงรูป (Rigid Packaging) ประเทศเวียดนาม และการซื้อหุ้นในสัดส่วน 85% ของ Deltalab, S.L. ประเทศสเปน ผู้เชี่ยวชาญด้านวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ในยุโรป
อย่างไรก็ตามการลงทุนดังกล่าว จะสนับสนุนให้สัดส่วน Polymer Packaging ปรับตัวขึ้นกว่า 10% ในปีนี้ จากเดิมอยู่ที่ 8% ซึ่งจะส่งผลดีต่อกำไรก่อนดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ให้ปรับตัวขึ้นด้วย
สำหรับในปีนี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นในการควบรวมกิจการ (Merger & Partnership หรือ M&P) อย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการสร้างการเติบโตของธุรกิจ โดยมองธุรกิจ Downstream Paper เพื่อตอบโจทย์การเข้าถึงของลูกค้ามากขึ้น ส่วนประเทศที่สนใจ ได้แก่ อินโดนีเซีย และเวียดนาม อย่างไรก็ตามปัจจุบันบริษัทฯ อยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรมากกว่า 2 ดีล คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ภายในปีนี้
นอกจากนี้จะรับรู้กำลังการผลิตใหม่เข้ามาเพิ่มเติม จากปัจจุบันอยู่ระหว่างดำเนินการการขยายกำลังการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ของ United Pulp and Paper Co., Inc. (UPPC) ประเทศฟิลิปปินส์ อีก 220,000 ตันต่อปี คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสที่ 1/2565 และขยายกำลังการผลิตบรรจุภัณฑ์อาหารในประเทศไทยและประเทศเวียดนามอีก 1,838 ล้านชิ้นต่อปี คาดว่าแล้วเสร็จภายในไตรมาสที่ 2/2565 ส่วนโครงการก่อสร้างฐานการผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษบรรจุภัณฑ์แห่งใหม่ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม ภายใต้ Vina Kraft Paper Company Limited (VKPC) ด้วยกำลังการผลิต 370,000 ตันต่อปี คาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 67
โดยบริษัทฯ ได้วางงบลงทุนในช่วง 5 ปี (2565-2569) ไว้ที่ 100,000 ล้านบาท คาดใช้ลงทุนเฉลี่ยต่อปีที่ 20,000 ล้านบาท โดยปีนี้จะแบ่งเป็น ใช้ในการทำ M&P จำนวน 10,000 ล้านบาท และการขยายกำลังการผลิตอีก 10,000 ล้านบาท ซึ่งจะช่วยสนับสนุนรายได้เติบโตเฉลี่ย 10% ต่อปี หรือคาดจะมีรายได้เติบโตเป็น 2 เท่า หรือไม่ต่ำกว่า 180,000 ล้านบาท ภายในปี 68 นับจากการเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีรายได้อยู่ที่ระดับ 90,000 ล้านบาท
“เราเชื่อมั่นว่าปีนี้เราจะทำรายได้เติบโตที่ระดับ 140,000 ล้านบาทได้ ซึ่งสัดส่วนรายได้จะมาจากต่างประเทศ มากกว่า 50% เนื่องจากจะมีการรับรู้รายได้จากการควบรวมกิจการในปีก่อนเข้ามาเต็มปี รวมถึงกำลังการผลิตในฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ขณะที่ไทยเอง ก็ยังคงเติบโตจากการขยายกำลังการผลิต” นายวิชาญ กล่าว
ส่วนการเติบโตของตลาดแพคเกจจิ้งในอาเซียนและต่างประเทศ มองว่ายังเติบโตได้มากกว่ากการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) เล็กน้อย จากความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง