“เมย์แบงก์” โกยกำไรปี 64 ทะลุ 760 ลบ. โต 57% รับรายได้ค่าฟี-นายหน้าเพิ่ม
“บล.เมย์แบงก์” โชว์ผลการดำเนินงานปี 64 กำไรพุ่ง 57% มาที่ 760 ลบ. รับรายได้ค่านายหน้าเพิ่ม รวมถึงรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการที่ปรับตัวขึ้นสูง
นายอารภัฏ สังขรัตน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ MST (Maybank Securities Thailand) กล่าวถึงภาพรวมผลการดำเนินงานสำหรับปี 2564 (สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564) บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 760.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 276.34 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 57.04 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 484.45 ล้านบาท
โดยบริษัทมีรายได้ค่านายหน้าเพิ่มขึ้น 500.14 ล้านบาท จาก 1,976.45 ล้านบาท เป็น 2,476.59 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 25.30 เนื่องจากรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 525.34 ล้านบาท จาก 1,792.76 ล้านบาท เป็น 2,318.10 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 29.30 อันเป็นผลจากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นจาก 68,606.91 ล้านบาท/วัน เป็น 93,845.64 ล้านบาท/วัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 36.79
ขณะที่สัดส่วนนักลงทุนบุคคล ซึ่งเป็นส่วนรายได้หลักของบริษัทเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 43.66 เป็น ร้อยละ 46.52 อันเป็นผลให้มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยของนักลงทุนบุคคลเพิ่มขึ้นจาก 29,956.10 ล้านบาท/วัน เป็น 43,660.58 ล้านบาท/วัน หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 45.75 ในขณะที่รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าลดลง 25.99 ล้านบาท จาก 183.69 ล้านบาท เหลือ 157.70 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 14.15
รวมถึงรายได้ค่านายหน้าอื่น ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายได้ค่านายหน้าจากบริการเสนอซื้อหลักทรัพย์จากประชาชนทั่วไปเพิ่มขึ้น 0.79 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 100.00
สำหรับรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการเพิ่มขึ้น 71.43 ล้านบาท จาก 139.09 ล้านบาท เป็น 210.52 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น ร้อยละ 51.36 เนื่องมาจากค่าธรรมเนียมจากการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 36.11 ล้านบาท ค่าที่ปรึกษาทางการเงินเพิ่มขึ้น 9.34 ล้านบาท และค่าธรรมเนียมการขายและการรับซื้อคืนหน่วยลงทุนเพิ่มขึ้น 33.36 ล้านบาท
ขณะที่ค่าธรรมเนียมและบริการอื่นลดลง 7.38 ล้านบาท ในส่วนของรายได้อื่นเพิ่มขึ้น 203.13 ล้านบาท จาก 702.28 ล้านบาท เป็น 905.41 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 28.92 เนื่องมาจาก รายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 172.55 ล้านบาท กำไรจากเงินลงทุนและตราสารอนุพันธ์เพิ่มขึ้น 82.53 ล้านบาท ในขณะที่รายได้อื่นลดลง 51.95 ล้านบาท
“ผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในปีที่ผ่านมานับว่าได้ผลเกินเป้าหมายและความคาดหวัง บริษัทฯ ขอขอบคุณทีมงานในความมุ่งมั่นและความร่วมมือเพื่อมอบบริการให้แก่ลูกค้าของเรา ในปี 2565 บริษัทฯ พร้อมเดินหน้ารุกธุรกิจอย่างเต็มกำลัง เรามองเห็นแนวโน้มที่ดีขึ้นเมื่อการระบาดใหญ่จะกลายเป็นโรคประจำถิ่นและการดำเนินวิถีชีวิตจะกลับสู่สภาวะปกติ
ด้านกิจกรรมทางเศรษฐกิจจะกลับมาฟื้นคืนชีพ เพื่อให้ครัวเรือนสามารถสร้างรายได้ และต่อจากนั้นจะเป็นไปตามกลไกการเติบโตตามธรรมชาติของการฟื้นตัวจากการบริโภคที่ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งในทางกลับกันวงจรการลงทุนก็จะเริ่มต้นอย่างก้าวกระโดด ขยายผลประโยชน์ของการส่งออกที่จะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของโลก
สำหรับอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ไทยยังคงมีความแข็งแกร่งโดยฟื้นความเชื่อมั่นและแรงผลักดันที่เข้มแข็งในการสร้างความมั่งคั่งขึ้นมาใหม่ ท่ามกลางการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เราได้มีโอกาสต้อนรับทีมงาน Relationship Manager และผู้แนะนำการลงทุนใหม่ๆ ที่มีประสบการณ์เข้ามาร่วมสนับสนุนในบริการ Wealth Management ที่ได้เปิดตัวไปเมื่อปีที่ผ่านมา ในปีนี้เราพร้อมที่จะเผชิญกับความท้าทายใหม่ๆ ในขณะที่เรายังคงมุ่งมั่นที่จะเดินหน้าธุรกิจตามเป้าหมายหลักในการกระจายการลงทุนไปยังประชาชนให้ได้อย่างทั่วถึงต่อไป” นายอารภัฏ กล่าว