DOD ปักธงปั้นรายได้ปี 65 โต 20% เล็งออก 10 ผลิตภัณฑ์ใหม่ไตรมาส 2

DOD ปักธงปั้นรายได้ปี 65 โต 20% คาดยอดขายอาหารเสริมขยายตัว แตกไลน์ผลิตอาหารเสริมแบบ “เจล-เจลลี่” เล็งออก 10 ผลิตภัณฑ์ใหม่ไตรมาส 2/65 วางงบลงทุนกว่า 180 ลบ. ขยายคลังสินค้า-ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต


นายธนิน ศรีเศรษฐี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ดีโอดี ไบโอเทค จำกัด (มหาชน) หรือ DOD เปิดเผยถึงอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารปี 2565 ว่า จากแนวโน้มความต้องการบริโภคอาหารเสริมและวิตามินที่เพิ่มสูงขึ้น หลังเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลให้เทรนด์การดูแลสุขภาพในการหันมารับประทานอาหารเพื่อสุขภาพของกลุ่มคนรุ่นใหม่ รวมถึงกลุ่มผู้สูงอายุทะยานสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วงในช่วง1-2 ปีที่ผ่านมา เนื่องจากคนเริ่มใช้ชีวิตอย่างแวดระวัง เพราะกลัวเชื้อไวรัสมากยิ่งขึ้น  และจากดีมานด์การเติบโตของอุตสาหกรรมเสริมอาหารที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ DOD วาง Business outlook สำหรับปี 2565 โดยตั้งเป้าหมายรายได้ปีนี้เพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบกับปี 2564 จากยอดขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อความสวยงาม และผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพ ยังคงมีการฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ จากการอ้างอิงข้อมูลภาพรวมตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของโลก โดย Euromonitor ประเมินว่า ระหว่างปี 2564-2569 ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของโลกจะเติบโต เฉลี่ยได้ที่ปีละ 5.3% ซึ่งจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจาก 1.2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2564 เป็น 1.5 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2569 หากพิจารณาในรายประเทศ ยังคาดว่าในช่วงปี 2564-2569 อินโดนีเซีย มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ 11% มาเลเซีย 10.1% เวียดนาม 9.8% ขณะที่ตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของไทย จะเติบโตเฉลี่ยที่ 5.1% ในช่วง 6 ปีนี้ ดังนั้นจากความต้องการที่สูงขึ้น DOD จึงเร่งวางแผนขยายฐานลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้น พร้อมพัฒนาสูตรใหม่ๆ เพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย

โดยในปี 2565 บริษัทฯ เตรียมออกผลิตภัณฑ์ใหม่เกี่ยวกับผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารให้กับลูกค้า ไม่ต่ำกว่า10 ผลิตภัณฑ์ ทั้งในรูปแบบผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อความสวยงาม  ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพ และ ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมน้ำมันจากเมล็ดกัญชง (Hemp Seed Oil) ส่วนผสมของสารสกัด CBD Isolate และพืชกระท่อม รวมทั้งพืชสมุนไพรไทยอื่นๆ

นอกจากนี้ บริษัทฯได้มีการขยายไลน์การผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในรูปแบบ เจล และ เจลลี่ ที่มีความนิยมค่อนข้างมากในประเทศเกาหลีใต้ และ ประเทศญี่ปุ่น โดยในปัจจุบันเริ่มได้รับความนิยมที่มากขึ้นในประเทศไทย ซึ่งในปัจจุบันอยู่ระหว่างการพัฒนาสูตร พัฒนาแพคเกจจิ้ง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารร่วมกับลูกค้า โดยคาดว่าจะสามารถออกผลิตภัณฑ์ได้ในไตรมาส 2/2565

สำหรับปีนี้บริษัทฯ ได้วางงบลงทุนไว้ไม่ต่ำกว่า 180 ล้านบาท เพื่อที่จะใช้ในการขยายคลังสินค้า และ ปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการเพิ่มความสามารถในการแข่งขัน มูลค่าราว 80 ล้านบาท พร้อมกันนี้ได้เตรียมพัฒนาและลงทุนไลน์การผลิตสินค้า บริษัท สยาม เฮอเบิล เทค จำกัด (SHT) ภายใต้บริษัทย่อยของ DOD เพื่อให้สามารถผลิตผลิตภัณฑ์สินค้าปลายน้ำออกจำหน่ายให้กับกลุ่มลูกค้าได้ทันที

นอกจากนี้ บริษัทฯยังได้มีการเจรากับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ ในการผลิตจากต่างประเทศทั้งด้านเทคโนโลยี และนวัตกรรมของผลิตภัณฑ์ ที่มีความต้องการที่จะเข้ามาขยายธุรกิจในประเทศไทยเพื่อที่จะสร้างฐานการผลิตรองการขยายตลาดไปในภูมิภาค โดยมองทั้งการร่วมลงทุน และการอนุญาตให้ใช้สิทธิ (Licensing) โดยคาดว่าจะเห็นความชัดเจนในช่วงไตรมาส 3/2565

ด้าน บริษัท สยาม เฮอเบิล เทค จำกัด (SHT) ซึ่งดำเนินธุรกิจโรงสกัดสารสกัดจากกัญชง ได้เริ่มดำเนินการสกัดสาร CBD Isolate แบบผงที่มีความเข้มข้นไม่ต่ำกว่า 98% ในโรงสกัดที่ได้มาตรฐานสากลเชิงพาณิชย์อย่างถูกกฎหมายเป็นรายแรกของภูมิภาคเอเชียอาคเนย์แล้ว และเตรียมรับช่อดอกกัญชงเข้ามาสกัดอย่างต่อเนื่องในปี 2565 โดยบริษัทฯได้เริ่มนำสารสกัด CBD Isolate ซึ่งเป็นวัตถุดิบและสารตั้งต้นในการใช้เป็นส่วนผสม เพื่อพัฒนาและต่อยอดในการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ได้อย่างครบวงจรแบบ One Stop Service Solution ตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงผลิตภัณฑ์ปลายน้ำ ให้กับกลุ่มพันธมิตรที่บริษัทฯได้มีการลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สำเร็จ (Finished product) ที่มีส่วนผสมจากสารสกัดจากกัญชงในช่วงก่อนหน้านี้ อาทิ บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย (JKN) , บมจ.โรจูคิส อินเตอร์เนชั่นแนล (KISS), บมจ.บิวตี้ คอมมูนิตี้ (BEAUTY), บมจ.ชโย กรุ๊ป (CHAYO), บมจ.เอฟเอ็น แฟคตอรี่ เอ๊าท์เลท (FN) และกลุ่มผู้ประกอบการทั่วไปได้ทันที ไม่ต่ำกว่า 2 – 3 ผลิตภัณฑ์ต่อราย โดยบริษัทฯคาดว่าจะสามารถทยอยส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้กับลูกค้าในกลุ่มดังกล่าวได้ ภายในช่วงต้นปี  2565 ตามแผนที่วางไว้

 “ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารของไทยมีคุณสมบัติเป็นที่ยอมรับของนานาประเทศ ประกอบกับประเทศไทยยังเป็นแหล่งผลิตที่มีศักยภาพด้านสมุนไพรไทยและวัตถุดิบธรรมชาติที่หลากหลาย ซึ่งเป็นโอกาสที่จะใช้จุดแข็งของสมุนไพรและต่อยอดการใช้เทคโนโลยีและการวิจัยในการพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหารต่างๆ เนื่องจากพืชสมุนไพรไทยถูกใช้เป็นวัตถุดิบเพื่อผลิตผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหารเสริม เครื่องสำอาง อาหารและเครื่องดื่ม ยาสมุนไพร ที่มีความต้องการจากตลาดสูง ทำให้อุตสาหกรรมดังกล่าวนี้มีโอกาสการเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญในอนาคต”นายธนิน กล่าว

Back to top button