“ดีบีเอสฯ” คัด 3 หุ้น Top Picks สัปดาห์นี้ เน้นกำไรฟื้นตัวแกร่ง-เติบโตดี แถม P/E ต่ำ
“ดีบีเอสฯ” คัด 3 หุ้น Top Picks สัปดาห์นี้ เน้นกำไรฟื้นตัวแกร่ง-เติบโตดี แถม P/E ต่ำ ชู BEM-CPN-STI เด่น พร้อมเก็งกำไร PSL,TTA หลังค่าระวางเรือเทกอง Downside ต่ำ
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” รวบรวมกลยุทธ์ลงทุนในสัปดาห์หน้า (31ม.ค.-ก.พ.65) มานำเสนอ พร้อมปัจจัยที่ต้องติดตาม โดยครั้งนี้อ้างอิงข้อมูลจาก บริษัทหลักทรัพย์ ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งระบุในบทวิเคราะห์ว่า กลยุทธ์การลงทุนสัปดาห์นี้ควรระวังการแกว่งเพราะเงินเฟ้อสหรัฐยังสูงมาก ซึ่งกลยุทธ์หลักเลือกซื้อจังหวะอ่อนตัว แนวเด้ง 1,620-1,610 จุด และ 1,600 จุด ส่วนแนวต้าน 1,650-1,660 จุด
โดยมีส่วนปัจจัยติดตาม ได้แก่ สถานการณ์โควิดทั้งในต่างประเทศและในไทย,สถานการณ์ความขัดแย้งในยูเครน และในตะวันออกกลาง,ผลโอเปกพลัส 2 ก.พ.นี้ และสถานการณ์การเมืองไทย หลังพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งซ่อมเขตหลักสี่ รวมทั้งมาตรการสนับสนุนยานยนต์ EV
อีกทั้งผลการทำ Hearing ครั้งที่ 2 เรื่องการลดเพดานดอกเบี้ยสินเชื่อเช่าซื้อ รถยนต์ & จักรยานยนต์ และเรื่องการเก็บภาษีขายหุ้น ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้ข้อสรุป รายละเอียดที่ชัดเจน (ก่อนหน้าระบุไว้ที่ 0.1% ของมูลค่าขาย)
ดังนั้นจังหวะตลาดพักฐานเป็นโอกาสซื้อหุ้นที่ธุรกิจมีแนวโน้มฟื้นตัว และเติบโตดี แต่ P/E ยังต่ำ สัปดาห์นี้ทาง DBSVTH แนะนำซื้อ BEM, CPN, STI และแนะนำซื้อเก็งกำไร PSL, TTA หลังดัชนีค่าระวางเรือเทกองมี Downside ต่ำและดัชนีเริ่มฟื้น โดยดัชนีค่าระวางเรือเทกอง (BDI) เริ่มขยับขึ้นเป็น 1,381 จุด (Min 1296, Max 5650) อย่างไรก็ตามชู BEM, CPN, STI หุ้น Top Picks สัปดาห์นี้
สำหรับบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BEM แนะซื้อราคาพื้นฐาน 10 บาท คาดผลประกอบการ ไตรมาส 12565 จะไม่อ่อนแอมากอย่างทีกังวล เพราะโควิดโอมิครอนไม่รุนแรงมาก คาดปริมาณ การใช้ทางด่วนและรถไฟฟ้าฟื้นตัว ในช่วงก.พ.-มี.ค.2565 โดยในปี 2565 จะมีการเปิดประมูลบริหาร เดินรถไฟฟ้าสายสีต่างๆ ของ รฟม. เช่น ส้ม และม่วงใต้ เป็นต้น โดยคาดผลประกอบการปี 2565 ฟื้นตัวแกร่ง โดยความเสี่ยงหลัก คือ โควิดระบาดรุนแรง และมีล็อกดาวน์รอบใหม่
ด้านบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) หรือ CPN แนะนำซื้อราคาพื้นฐาน 66 บาท รายได้และมาร์จิ้นปี 2565 ดีขึ้น หลังให้ส่วนลดค่าเช่าน้อยลงในปีนี้ และคาดว่าค่าเช่าจะกลับสู่ระดับปกติในปี 2566 โดยคาดกำไรสุทธิปี 2565 โตดี 22% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน (หลังลดลง 20% ในปี 2564) จากรายได้ค่า เช่าเพิ่มและมี Economy of scale ส่วนการถือหุ้นบริษัท สยามฟิวเจอร์ดีเวลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SF สัดส่วน 96.24% เป็นบวกใน ระยะยาว เมื่อเข้าไปบริหารจัดการส่วนความเสี่ยงหลัก คือ โควิดระบาดรุนแรง ขึ้น, ธุรกิจให้เช่าพื้นที่ค้าปลีกแข่งขันสูง ผู้บริโภคซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้น
ส่วนบริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI แนะซื้อราคาพื้นฐาน 10 บาท รายได้ปี 2565 คาดไว้ที่ 2 พันล้านบาท เติบโต 11% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ปัจจุบันมี Backlog 4 พันล้านบาท (งานรัฐ 70%, เอกชน 30%) โดย GPM สูงที่ 27-30% ขณะที่ CK, STEC มี GPM 5-15% คาดกำไรปี 2565 โต 21% ราคา ปัจจุบันมี P/E ปี 2565 ต่ำเพียง 13 เท่า ให้ราคาพื้นฐาน 10 บาท อิงกับ P/E ปี 2565 ที่ 15 เท่า ด้านความเสี่ยงหลัก คือ การเปิดประมูล งานใหม่ล่าช้า, ขาดแคลนแรงงาน
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน