“ฟินันเซีย” แนะซื้อ JWD เป้า 23 บ. เล็งกำไร Q4/64 แตะ 133 ลบ. รับขนส่งยานยนต์-บ.ร่วมหนุน

“ฟินันเซีย” แนะซื้อ JWD เป้า 23 บ. เล็งกำไร Q4/64 แตะ 133 ลบ. เติบโต 75.30% เทียบจากปีก่อน รับธุรกิจที่เกี่ยวกับยานยนต์ ลานรับ/ฝากและบริการรถยนต์ รวมไปถึงการขนส่งชิ้นส่วนยานยนต์ ประกอบกับห้องเย็นและ Self Storage ยังคงมีอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง ลุ้น บ.ร่วมอาจมีเซอร์ไพรส์ เข้ามาช่วยหนุน


บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์เกี่ยวกับกรณี บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD คาดการณ์ไตรมาส 4/2564 จะมีกำไรสุทธิ 132.90 ล้านบาท ลดลง 4.4% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน แต่เติบโตเพิ่มขึ้น 75.30% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน โดยผลประกอบการมีการชะลอเล็กน้อยเทียบกับไตรมาส 3/2564 จากต้นทุนค่าขนส่งที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบในบางธุรกิจเช่น ธุรกิจอาหาร รวมไปถึงธุรกิจ Barge (บริหารท่าเทียบเรือชายฝั่ง) และธุรกิจคลังสินค้า ซึ่งเข้าสู่ช่วง Low Season แต่สามารถชดเชยได้จากธุรกิจที่เกี่ยวกับยานยนต์ ลานรับ/ฝากและบริการรถยนต์ รวมไปถึงการขนส่งชิ้นส่วนยานยนต์ โดยคาดว่าจะมีการเติบโตตามการฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์ นอกจากนี้ ธุรกิจห้องเย็นและ Self Storage ยังคงมีอุปสงค์ที่แข็งแกร่ง โดยคาดการณ์ว่าจะมีรายได้ทิ้งสิ้น 1,399.30 ล้านบาท เติบโต 3.1% เทียบกับไตรมาสก่อนหน้าและเติบโต 32% เทียบกับปีก่อน

นอกจากนี้ บริษัทร่วมในต่างประเทศมีแนวโน้มผลประกอบการดีขึ้นในไตรมาส 4 ปี 2564 โดยบริษัท PPSEZ ซึ่งเป็นผู้พัฒนานิคมอุตสาหกรรมรายใหญ่ในกัมพูชามีโอกาสขายที่ดินได้ เพราะก่อนหน้านี้นักลงทุนต่างชาติไม่สามารถเดินทางไปดูที่ดินได้ ขณะที่บริษัทโลจิสติกส์ขนาดใหญ่ในเวียดนาม Transimex อาจได้ประโยชน์จากค่าระวางเรือที่ยังทรงตัวสูง รวมไปถึงในไตรมาสนี้ได้รวม ESCO (ถือหุ้น 20%) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการท่าเรือคอนเทนเนอร์ในท่าเรือแหลมฉบังเข้ามา 2 เดือนตั้งแต่เดือน พ.ย. 2564 ซึ่งคาดว่ามีส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมในไตรมาส 4 ปี 2564 จำนวน 52 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 26.30% เทียบกับไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 75.60% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งกำไรจากบริษัทร่วมเป็นตัวแปรสำคัญที่ผลักดันกำไรของ JWD ในไตรมาส 3 ปี 2564 และรวมไปถึงไตรมาส 4 ปี 2564 อีกด้วย

ขณะเดียวกันทางฝ่ายวิเคราะห์คาดการณ์กำไรปี 2565 อยู่ที่ 571.17 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.30% และในปี 2566 คาดการณ์กำไรอยู่ที่ 690.70 ล้านบาท  เพิ่มขึ้น 20.80% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ ดังนั้น คงคำแนะนำ “ซื้อ” ที่ราคาเป้าหมาย  23 บาท แม้ว่า PE ปัจจุบันจะขยับขึ้นเป็น 35.30 เท่า แต่ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาที่ 44 เท่า แต่หากดู EV/EBITDA ที่ 15.60 เท่า ถือว่าไม่สูงเมื่อเทียบกับการเติบโตของ EBITDA คาด +15.5% โดยเฉลี่ยในช่วงปี 2565-2567

Back to top button