เปิดโผ 10 หุ้น “บลูชิพ” วิ่งแรงเดือนม.ค. พ่วงเก็บ 9 หุ้นพื้นฐานแกร่งต่ำบุ๊ก!
เปิดโผ 10 หุ้น “บลูชิพ” วิ่งแรงเดือนม.ค. พ่วงเก็บ 9 หุ้นพื้นฐานแกร่งต่ำบุ๊ก BBL,KBANK,EGCO,PTTGC นำทีมเด่น
ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ทำการสำรวจกลุ่มหุ้น SET50 ในเดือนมกราคม ปี 2565 มานำเสนอ เพื่อให้เห็นทิศทางหุ้นรายใดปรับตัวขึ้นโดดแด่น แม้ว่าในเดือนที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยจะมีความท้าทายและมีโอกาสเกิดความผันผวนจากปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ อาทิ ความไม่แน่นอนของสถานการณ์ระบาดโอมิครอนหลังจากผ่านพ้นช่วงฤดูกาลเฉลิมฉลองปีใหม่ไปแล้ว และแนวโน้มเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้นอยู่และนโยบายการเงินสหรัฐที่เข้มงวดขึ้น ทั้งการเร่งขึ้นดอกเบี้ยและการเร่งปรับลดขนาดงบดุลลงเป็นต้น
อย่างไรก็ตามยังมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ อาทิ โครงการคนละครึ่งเฟส 4 และเราเที่ยวด้วยกันเฟส 4 และการกลับมาให้ลงทะเบียนเข้าประเทศ ในระบบ Test & Go อีกครั้งส่งผลให้ภาพรวมตลาดไม่ผันมากนัก ขณะเดียวกันนักลงทุนส่วนใหญ่เน้นลงทุนหุ้นเชิงคุณค่า (Value Stock) และหุ้นปันผลดีสม่ำเสมอเพื่อฟันฝ่าช่วงเวลานี้เพื่อรอให้เศรษฐกิจฟื้นตัว
โดยกลุ่มหุ้น SET50 ถือเป็นกลุ่มเป้าหมายของนักลงทุน เนื่องจากให้ปันผลเด่นและมีพื้นฐานแข็งแกร่งและเติบโตดีในอนาคต โดยหุ้นที่ราคาปรับตัวขึ้นแรง 10 อันดับของเดือนม.ค.2565 ประกอบด้วย LH,BBL,IVL,PTTEP,TU,GULF, CPALL,CRC, MINT,KTB โดยจะขอนำเสนอข้อมูลประกอบ 3 อันดับดังนี้
อันดับ 1 คือ บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH โดยราคาหุ้นปรับขึ้นแรง 11.36% จากระดับ 8.80 บาท เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.2564 มาอยู่ที่ระดับ 9.80 บาท ณ วันที่ 31 ม.ค.2565 คาดนักลงทุนมั่นใจแผนธุรกิจและการจ่ายเงินปันผลโดดเด่นทำให้มีแรงซื้อเข้ามาดันให้ราทะยานแรงดังกล่าว
โดยบริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ระบุว่า เข้าใกล้เทศกาลจ่ายปันผลประจำปี 2564 และครึ่งปีหลัง 2564 ประมาณเดือน มี.ค.-พ.ค. 2565 กลยุทธ์การลงทุนระยะ 1-2 เดือน แนะนำปันผลสูงและกำไรเติบโต คัดกรองหุ้นปันผลเด่นจะจ่ายเงินปันผลครึ่งปีหลัง 2564 สูงกว่า 2.3% เป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและอยู่ในจุดเหมาะสมในการเข้าซื้อ Big-Mid Cap ได้แก่ TISCO, TTB, LH, KKP และ BBL ส่วนหุ้น Small Cap ได้แก่ MC, AP,SC, NER,SAT, BCP,TVO, ICHI และTHANI
ด้านนายนพร สุนทรจิตต์เจริญ ประธานคณะกรรมการ LH วางแผนงานและเป้าหมายในปี 2565 อยู่ภายใต้การประเมินสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนว่าจะสามารถบริหารจัดการและควบคุมได้ในระดับที่ไม่รุนแรงจนถึงขั้นที่ต้องมีการล็อกดาวน์อีก โดยบริษัทตั้งเป้าหมายรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการไว้ที่ 33,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ ปัจจุบันบริษัทมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือมูลค่าประมาณกว่า 6,000 ล้านบาท ซึ่งสามารถทยอยรับรู้รายได้ทั้งหมดในปี 2565 และมีโครงการคอนโดมิเนียมเสร็จใหม่พร้อมโอน 1 โครงการ คือ โครงการ The Key พระราม 3 ซึ่งจะเริ่มทยอยส่งมอบตั้งแต่ไตรมาส 3/2565 เป็นต้นไป
อันดับ 2 ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ราคาหุ้นปรับขึ้นแรง 11.11% จากระดับ 121.50 บาท เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.2564 มาอยู่ที่ระดับ 135.00 บาท ณ วันที่ 31 ม.ค.2565
บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า BBL คงคำแนะนำซื้อเป้าหมายปี 2565 ที่ 165.0 บาท มองว่า BBL เป็นธนาคารที่มีคุณภาพสินทรัพย์แกร่งสุดในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ และมีความเป็นผู้นำด้านสินเชื่อธุรกิจ ซึ่งจะได้อานิสงส์โดยตรงจากการเติบโตของเศรษฐกิจ นอกจากนี้คาดหวัง BBL ต่อการปรับเปลี่ยนธุรกิจสู่ digital banking มากขึ้น เพื่อคงความสามารถในการแข่งขันในระยะยาวกับธนาคารคู่แข่งอย่าง SCB และ KBANK ที่ให้ความสำคัญด้านการพัฒนา IT investment อย่างมาก
นอกจากนี้เข้าใกล้เทศกาลจ่ายปันผลประจำปี 2564 และครึ่งปีหลัง 2564 ประมาณเดือน มี.ค.-พ.ค. 2565 กลยุทธ์การลงทุนระยะ 1-2 เดือน แนะนำปันผลสูงและกำไรเติบโต คัดกรองหุ้นปันผลเด่นจะจ่ายเงินปันผลครึ่งปีหลัง 2564 สูงกว่า 2.3% เป็นหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดีและอยู่ในจุดเหมาะสมในการเข้าซื้อ Big-Mid Cap ได้แก่ TISCO, TTB, LH, KKP และ BBL
บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ BBL ทางฝ่ายยังคงประมาณการกำไรสุทธิในปี 2565 อยู่ที่ 2.8 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 5% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากสำรองฯที่ลดลง และยังรายได้ค่าธรรมเนียมที่โตดีรวมถึงมีกำไรจากเงินลงทุนเข้ามาช่วยหนุน ขณะที่คาดว่าแนวโน้มกำไรสุทธิในไตรมาส 1 ปี 2565 จะเติบโตได้ทั้งจากงวดเดียวกันของปีก่อน และจากไตรมาสก่อน จากสำรองฯที่ลดลง Valuation/Catalyst/Risk ราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 146.00 บาท อิงปี 2565 PBV ที่ 0.57 เท่า
อีกทั้ง BBL ยังเป็นธนาคารที่ laggard ที่สุดในกลุ่มธนาคาร โดยซื้อขายที่ PBV เพียง 0.5 เท่า ขณะที่มีความต้านทานต่อภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวได้ดีกว่ากลุ่มฯ จาก coverage ratio ที่สูงมากที่ระดับ 199% แต่มีความเสี่ยงจากผลกระทบจากโควิดรอบใหม่ และผลการดำเนินงานของธนาคาร Permata ที่อินโดนีเซียไม่เป็นไปตามคาด
อันดับ 3 บริษัท อินโดรามา เวนเจอร์ส จำกัด (มหาชน) หรือ IVLราคาหุ้นปรับขึ้นแรง 9.83% จากระดับ 43.25 บาท เมื่อวันที่ 30 ธ.ค.2564 มาอยู่ที่ระดับ 47.50 บาท ณ วันที่ 31 ม.ค.2565
ด้านบริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” ปรับราคาเป้าหมายเป็น 57.50 บาท และเป็น top pick หลังมอง IVL น่าสนใจมากขึ้นจากสภาพตลาด PET ในช่วงไตรมาส 4/64 เอื้อต่อการปรับ margin การขาย แบบสัญญาฯ ของปี 2565 หนุนภาพ core EBITDA/ton อยู่ในขาฟื้นตัวยิ่งขึ้น
ประกอบกับได้แรงหนุนของ Oxiteno ที่ core EBITDA/ton (159 $/ton) สูงกว่า port เดิมเข้ามา ทั้งนี้มองช่วงครึ่งแรกของปี 2565 ทาง IVL มีปัจจัยบวกหนุนเด่นกว่ากลุ่มปิโตรเคมี จากอัตรากำไรฟื้นต่อเนื่อง และมีแรงหนุน M&A
พร้อมกันนี้ ปรับกำไรปกติปี 2564 ขึ้น 13% เป็น 26,442 ล้านบาท (โต 2,165% จากปีก่อน) หลักๆ จากปรับอัตรากำไรธุรกิจ PET ขึ้นจาก short supply ในจีน ส่วนปี 2565 ปรับขึ้น 16% เป็น 27,991 ล้านบาท (โต 6% จากปีก่อน) เพราะ รวมธุรกิจ Oxiteno เข้ามาตั้งแต่ไตรมาส 2/2565
นอกจากนี้ยังได้คัดเลือก 9 หุ้นพื้นฐานแกร่งราคาต่ำบุ๊ก หรือ มูลค่าหุ้นทางบัญชีต่อหุ้น อาทิ BBL,KBANK,EGCO,PTTGC,KTB,TOP,RATCH,TTB, IRPC เพื่อเป็นข้อมูลให้นักลงทุนใช้พิจารณาในการตัดสินใจเลือกสะสมหุ้นเข้าพอร์ต และรอหุ้นฟื้นตัวแรงจากพื้นฐานที่แข็งแกร่งและมีแนวโน้มกำไรเติบโตเด่นในปี 2565 นี้
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน