TPIPP คาดผลงานปี 65 ดีต่อเนื่อง รับแรงหนุนขึ้นค่า FT พร้อมเดินหน้าโรงงานสีเขียวเต็มสูบ
TPIPP คาดการณ์ผลประกอบการปี 65 ดีต่อเนื่อง รับแรงหนุนขึ้นค่า FT เพิ่มขึ้น 4.63%ช่วงเดือนม.ค. - เม.ย. พร้อมเดินหน้าโรงงานไฟฟ้าพลังงานสีเขียว 100%
นายภัคพล เลี่ยวไพรัตน์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายบัญชีและการเงิน บริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TPIPP เปิดเผยว่า ตามที่คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้มีมติปรับค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่า FT) สำหรับค่าไฟฟ้ารอบเดือนม.ค.-เม.ย. 65 อยู่ที่ 1.39 สตางค์/หน่วย เพิ่มขึ้น 19.26 สตางค์/หน่วย จากรอบเดือนก.ย.-ธ.ค. 64 ทำให้ค่าไฟฟ้าขยับเพิ่มขึ้น 4.63% จากงวดปัจจุบัน ส่งผลให้ TPIPP ได้รับประโยชน์จากการปรับขึ้นค่าเอฟทีดังกล่าว เนื่องจากมีมาร์จิ้นการขายไฟฟ้าสูงขึ้นจากช่วงที่ผ่านมา
โดยบริษัทยังเดินหน้ามุ่งขยายกำลังการผลิตและลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง ตามแผนยุทธศาสตร์ 3-5 ปี โดยคาดว่าผลประกอบการในปีนี้ยังคงดีต่อเนื่องจากค่า FT ของค่าไฟฟ้าที่ขายการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เพิ่มขึ้น 19.26 สตางค์/หน่วย และการปรับปรุงประสิทธิภาพหม้อต้มน้ำ (Boiler) ทุกหม้อ เพื่อลดต้นทุนการผลิตและการใช้วัตถุดิบของหม้อต้มน้ำถ่านหิน โดยขยะที่ใช้เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่เป็นขยะสด โดยคาดว่าจะสามารถลดการใช้ถ่านหินได้ 970 ตัน/วัน ภายในปี 65 นี้ โดยปัจจัยดังกล่าวจะทำให้บริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้น และจากรายได้ Carbon Credit ซึ่งจะสามารถชดเชยค่า Adder ของโรงไฟฟ้าเชื้อเพลิงขยะ ที่จะทยอยหมดอายุในปีนี้
โดยปัจจุบันบริษัทเป็นบริษัทที่มี NetZero Carbon Emission และมี Carbon Credit ที่จะขายได้ประมาณ 6.61 ล้านตัน/ปี จากการใช้ขยะในการผลิตไฟฟ้า โดยที่บริษัทได้เดินหน้าเปลี่ยนแปลงโรงไฟฟ้าถ่านหิน 220 เมกะวัตต์ ในปัจจุบันให้เป็นโรงไฟฟ้าพลังงานสีเขียว 100% โดยจะใช้เชื้อเพลิงขยะแทนเชื้อเพลิงถ่านหิน 100% ได้ในปี 69 นี้ ส่งผลให้บริษัทจะมี Net Zero Carbon Emission และมี Carbon Credit ที่จะขายได้ประมาณ 12.45 ล้านตัน/ปี ตั้งแต่ปี 69 เป็นต้นไป
นอกจากนี้บริษัทอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อมเพื่อขาย Carbon Credit ดังกล่าว ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีกำไรสูงขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ประเทศไทยได้เข้าร่วมประชุมการประชุมสมัชชาประเทศที่เมืองกลาสโกลว์ (COP26) และได้สัญญาที่จะลดการปล่อยคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ในปริมาณ 46 ล้านตัน/ปี ภายในปี 73 ตามสัญญาที่นายกฯไทยไปให้ไว้ที่ COP26 และจะเป็นประเทศที่มี Carbon Neutral ในปี 2608 โดยตลาดคาร์บอนในประเทศไทยกำลังถูกพัฒนาขึ้นในปัจจุบัน
ทั้งนี้ บริษัทได้ดำเนินธุรกิจที่เติบโตอย่างยั่งยืน ตามนโยบาย ธรรมาภิบาล สิ่งแวดล้อม สังคมและองค์กร (ESG) โดยเล็งเห็นความสำคัญในการลดมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดอ๊อกไซด์อันเป็นการลดภาวะโลกร้อน และได้ดำเนินธุรกิจสอดคล้องกับนโยบายของภาครัฐ ตอกย้ำศักยภาพบริษัทผู้นำอันดับหนึ่งโรงไฟฟ้าพลังงานสีเขียวที่ช่วยกำจัดขยะให้ประเทศ (Green & Clean Energy)