ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง PLUS ขายไอพีโอ 170 ล้านหุ้น ระดมทุนขยายโรงงาน-เพิ่มเครื่องจักร
ก.ล.ต.นับหนึ่งไฟลิ่ง “โรแยล พลัส” หรือ PLUS เสนอขายหุ้น IPO จำนวน 170 ล้านหุ้น นำเงินขยายธุรกิจ รวมทั้งใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน และชำระคืนหนี้สถาบันการเงิน พร้อมก้าวสู่ผู้นำธุรกิจเครื่องดื่มและน้ำผลไม้ และสร้างการเติบโตให้ธุรกิจอย่างยั่งยืน
นายพลแสง แซ่เบ๊ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท โรแยล พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ PLUS ผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มน้ำผลไม้ และเครื่องดื่มต่างๆ เปิดเผยว่า บริษัทฯ วางกลยุทธ์มุ่งสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่มีคุณภาพ ด้วยนวัตกรรมอย่างไม่หยุดนิ่ง บวกประสบการณ์ความสุขให้ผู้บริโภคทั่วโลก
พร้อมยกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคนอย่างยั่งยืน ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูล (Filing) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวน 170 ล้านหุ้น คิดเป็น 25.4% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยมีมูลค่าที่ตราไว้ (Par value) 0.50 บาทต่อหุ้น เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เพื่อสนับสนุนให้ PLUS มีศักยภาพและความพร้อมสูงในการเติบโตรองรับความต้องการของลูกค้า
โดยบริษัทฯ มีความเชื่อมั่นในจุดแข็งและรสชาติของเครื่องดื่ม เช่น มะพร้าวที่ปลูกในประเทศไทยที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์และถูกปากผู้บริโภคทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ พร้อมทั้งวางเป้าหมายในการดำเนินธุรกิจ โดยมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มที่มีคุณภาพ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่รักสุขภาพ และชื่นชอบวัตถุดิบธรรมชาติ (Natural Ingredients) ด้วยนวัตกรรมที่ไม่หยุดนิ่ง ขยายฐานตลาดจากคู่ค้าและพันธมิตรทางธุรกิจ (Partnership) ทั้งในประเทศและต่างประเทศ ภายใต้การสร้างแบรนด์สินค้าของ PLUS ให้เป็นที่รู้จักทั่วโลก ปัจจุบัน PLUS มี 5 สายการผลิต สามารถรองรับการผลิตสูงสุดได้ 197.8 ล้านขวดต่อปี
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ครั้งที่ 4/2564 เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2564 ที่ผ่านมา ได้อนุมัติแผนการขยายกำลังการผลิตโดยการเพิ่มสายการผลิตสายที่ 6 ซึ่งเป็นสายการผลิตระบบการบรรจุแบบปลอดเชื้อ (Aseptic) สำหรับขวดพลาสติกแบบ PET กำลังการผลิต 400 ขวดต่อนาที เพื่อเตรียมกำลังการผลิตให้เพียงพอต่อการเติบโตของยอดขายในอนาคต
โดย PLUS จะพิจารณาเข้าลงทุนในระยะเวลาที่เหมาะสม เมื่อยอดขายที่ว่าจ้าง OEM ผลิตสินค้าแบบขวด Aseptic ในระยะแรกได้รับผลตอบรับเป็นที่น่าพอใจและเห็นถึงอัตราการเติบโตที่คาดว่าจะยั่งยืน เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผลการดำเนินงานของ PLUS และผลตอบแทนของผู้ถือหุ้น
ทั้งนี้ PLUS จะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ไปใช้ลงทุนในโครงการขยายโรงงานและลงทุนเครื่องจักรเพิ่มเติม จ่ายคืนหนี้สินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการประกอบธุรกิจ เพื่อรองรับการเติบโตของบริษัทในอนาคต อีกทั้งเป็นการยกระดับมาตรฐานของบริษัทเข้าสู่มาตรฐานสากล เพิ่มความน่าเชื่อถือในด้านภาพลักษณ์ ให้เป็นที่ยอมรับของลูกค้าและคู่ค้า รวมถึงเพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน
อนึ่ง PLUS เป็นหนึ่งในผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มรายใหญ่ โดยมีสินค้าแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มน้ำผลไม้ ได้แก่ เครื่องดื่มน้ำนมมะพร้าว แบรนด์ Coco Royal เครื่องดื่มน้ำมะพร้าว ภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ Coco Royal เครื่องดื่มน้ำผลไม้ผสมเม็ดแมงลัก แบรนด์ Nita เครื่องดื่มน้ำผลไม้ผสมเมล็ดเชีย ภายใต้แบรนด์ Coco Royal และ Mabu
นอกจากนี้ กลุ่มเครื่องดื่มทั่วไป ได้แก่ ชานม แบรนด์ Mabu เครื่องดื่มวิตามิน แบรนด์ C-Boom และเครื่องดื่มอื่นๆ เช่น นมถั่วเหลือง เครื่องดื่มกาแฟผสมน้ำนมมะพร้าว แบรนด์ Coco Coff โดยส่วนใหญ่เป็นสินค้ากลุ่มรับจ้างผลิต (OEM) นอกจากนี้ PLUS ได้พัฒนาและทำการตลาดสินค้า แบรนด์ที่ PLUS พัฒนาเอง (Company Brand) อีกด้วย
ทั้งนี้ PLUS มีกลยุทธ์ทำธุรกิจในการส่งออกสินค้าไปทั่วโลก ส่งผลให้มีรายได้จากการขายอยู่ในรูปสกุลเงินต่างประเทศในสัดส่วนสูง ซึ่งแม้ว่าค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าตั้งแต่ปี 2561 แต่รายได้จากการขายของ PLUS ระหว่างปี 2561 – 2563 ยังสามารถเติบโตต่อเนื่องเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 18.4% สาเหตุจากกลยุทธ์ของ PLUS ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้รวดเร็ว และการขยายฐานลูกค้าสำหรับตลาดใหม่ รวมถึงสินค้าของ PLUS มีรสชาติที่ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค
โดย PLUS ผลิตและส่งออกผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มไปหลายประเทศในหลายทวีป โดยสัดส่วนรายได้ในปี 2563 และในช่วงเก้าเดือนแรกของปี 2564 อยู่ที่ 98.9% และ 98.9% ตามลำดับ เป็นรายได้มาจากการส่งออก โดยมีประเทศคู่ค้าหลักอยู่ในทวีปต่างๆ ได้แก่ ทวีปอเมริกา ทวีปเอเชีย และทวีปยุโรป ทั้งนี้ PLUS ได้รับการรับรองคุณภาพที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลหลายรายการ ได้แก่ ISO 22000, FSSC 22000, GMP, HACCP และ U.S. FDA Standard, Halal การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในครั้งนี้ จึงเป็นการสนับสนุนและพัฒนา เพื่อรองรับโอกาสเติบโตในอนาคต
นางสาวสุวิมล ศรีโสภาจิต ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า ปัจจุบันสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (สำนักงาน ก.ล.ต.) ได้นับหนึ่งแบบแสดงรายการข้อมูล (Filing) บริษัท โรแยล พลัส จำกัด (มหาชน) หรือ PLUS เรียบร้อยแล้วตามแผน คาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) หมวดธุรกิจอุตสาหกรรม คาดว่าจะสามารถเข้าจดทะเบียนภายในไตรมาส 2 ปี 2565
โดยปัจจุบัน PLUS มีทุนจดทะเบียน 335 ล้านบาท ทุนจดทะเบียนที่ออกและชำระแล้ว 250 ล้านบาท และมีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่า 40% ของกำไรสุทธิของงบการเงินเฉพาะกิจการที่เหลือหลังจากหักภาษีเงินได้นิติบุคคล และทุนสำรองต่างๆ ตามกฎหมาย ด้านโครงสร้างของผู้ถือหุ้น ประกอบด้วยกลุ่มนายพลแสง แซ่เบ๊ ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ก่อตั้งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ สัดส่วนก่อนและหลัง IPO ที่ 77.7% และ 57.9% ตามลำดับ และผู้ถือหุ้นอื่นๆ ถือหุ้นรวมกัน ในสัดส่วนก่อนและหลัง IPO ที่ 22.3% และ 16.7% ตามลำดับ
สำหรับฐานะทางการเงินตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2561 – 2563) บริษัทฯ มีรายได้รวมในปี 2561 – 2563 อยู่ที่ 802.3 ล้านบาท 898.4 ล้านบาท และ 1,106.5 ล้านบาท ตามลำดับ เนื่องจากคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้น แม้ภายใต้สถานการณ์โควิด-19 คำสั่งซื้อจากสหรัฐอเมริกาในกลุ่มน้ำมะพร้าวก็มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ จากผู้บริโภคกักตุนสินค้าบริโภคในช่วง Lockdown และมีกำไรสุทธิเท่ากับ 1.3 ล้านบาท 11.7 ล้านบาท 57.2 ล้านบาท ตามลำดับ
โดยคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 0.2%, 1.3% และ 5.2% ตามลำดับ เนื่องจากการควบคุมต้นทุนวัตถุดิบได้ดีขึ้น การเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต และการประหยัดเนื่องจากขนาดซึ่งเป็นผลมาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้น อีกทั้ง กลยุทธ์การเน้นการขายสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูง ได้แก่ กลุ่มน้ำมะพร้าว ควบคู่การควบคุมค่าใช้จ่าย
ขณะที่งวด 9 เดือนแรกของปี 2564 มีรายได้รวมเท่ากับ 765.3 ล้านบาท มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 60.7 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นกำไรสุทธิที่มากกว่ากำไรสุทธิของปี 2563 เรียบร้อยแล้ว โดยคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิที่ 7.9% เนื่องจากการบริหารต้นทุนและควบคุมค่าใช้จ่ายที่มีประสิทธิภาพและต้นทุนทางการเงินที่ลดลง
“มองว่าโอกาสของ PLUS หลังจากบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะทำให้บริษัทฯ มีความพร้อมมากขึ้นในการขยายธุรกิจ บริษัทฯ คาดว่าจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้ลงทุนในโครงการขยายโรงงานและลงทุนเครื่องจักรเพิ่มเติม ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และเป็นเงินทุนหมุนเวียน เพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจในอนาคต
นอกจากนั้นการเข้าจดทะเบียนในครั้งนี้ ยังเป็นการยกระดับมาตรฐานของบริษัทฯ ให้เป็นมาตรฐานสากล เพิ่มความน่าเชื่อถือ และภาพลักษณ์ให้เป็นที่ยอมรับของลูกค้าและคู่ค้า เพิ่มศักยภาพในการแข่งขัน ในฐานะบริษัทจดทะเบียนที่ดำเนินกิจการภายใต้หลักบรรษัทภิบาล มีความยั่งยืนและมีความโปร่งใส ก้าวสู่ความเป็นผู้นำในธุรกิจเครื่องดื่มออกสู่ตลาดโลกได้อย่างแข็งแกร่งในอนาคต” นางสาวสุวิมล กล่าว