TPCH โกยรายได้ปี 64 โต 40% เคาะปันผล 0.053 บ. กางแผนลงทุน “โรงขยะ” 4-6 แห่ง
TPCH เปิดแผนธุรกิจปี 65 เตรียม COD โครงการโรงไฟฟ้าประชารัฐชีวมวล แม่ลาน-บันนังสตา Q2 - ทยอยรับรู้รายได้โรงไฟฟ้าขยะ SP และลุยพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าขยะอีกประมาณ 4-6 แห่ง มั่นใจผลงานปีนี้โตกระฉูด 40% ตามเป้าหมาย
นางกนกทิพย์ จันทร์พลังศรี ประธานคณะกรรมการบริหาร บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TPCH ประกอบธุรกิจหลักโดยการถือหุ้นในบริษัทอื่น (Holding Company) ที่ประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน เปิดเผยว่า แผนการดำเนินงานในปี 2565 บริษัทฯ เตรียมที่จะ COD โรงไฟฟ้าประชารัฐชีวมวล แม่ลาน กำลังการผลิตรับซื้อไม่เกิน 2.85 เมกะวัตต์ และโรงไฟฟ้าประชารัฐชีวมวล บันนังสตา กำลังการผลิตรับซื้อไม่เกิน 2.85 เมกะวัตต์ พร้อมทั้ง มองหาโอกาสการลงทุนในโครงการใหม่ๆ ที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีให้กับบริษัทและผู้ถือหุ้นได้ในระยะยาว
“โครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลทั้ง แม่ลาน และ บันนังสตา ขณะนี้อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งมีความคืบหน้าไปมาก และคาดว่าจะสามารถ COD ได้ภายในไตรมาส 2/65 ขณะเดียวกัน TPCH จะทยอยรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าขยะ สยาม พาวเวอร์ (SP) มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า 8 เมกะวัตต์ กำลังการผลิตติดตั้ง 9.5 เมกะวัตต์ ที่ COD ไปเรียบร้อยแล้ว รวมถึง การรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้าชีวมวลเดิมอีก 10 แห่ง ซึ่งมีกำลังการผลิตรวม 106.8 เมกะวัตต์ จึงมั่นใจว่า จะช่วยสนับสนุนผลงานในปีนี้ให้เติบโตตามเป้าหมายที่ 30-40% ได้” นางกนกทิพย์ กล่าว
ด้าน นายเชิดศักดิ์ วัฒนวิจิตรกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีพีซี เพาเวอร์ โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ TPCH กล่าวว่า TPCH กำลังพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าขยะอีกประมาณ 4-6 แห่ง ซึ่งเป็นโรงไฟฟ้าขนาดเล็กมาก (VSPP) คาดว่าจะเห็นความชัดเจนภายในปีนี้ นอกจากนี้ บริษัทฯ มีความสนใจเข้าลงทุนในโครงการของภาครัฐ
โดยเฉพาะการเปิดรับซื้อไฟฟ้าจากโรงไฟฟ้าขยะและโรงไฟฟ้าชุมชนเพิ่มเติม ตามแผน PDP 2022 ฉบับใหม่ เพื่อเป้าหมายการมีกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าขยะ 50 เมกะวัตต์ และเป้าหมายการมีกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าประเภทชีวมวล ชีวภาพ ขนาด 200 เมกะวัตต์ และจะทำให้บริษัทฯ มีกำลังการผลิตไฟฟ้ารวมของทุกประเภทอยู่ที่ 250 เมกะวัตต์ ภายในปี 2566 อีกทั้ง บริษัทฯ ได้เข้าศึกษาธุรกิจอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจหลัก
“ปัจจุบันบริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญและอยู่ระหว่างการศึกษานโยบายการขับเคลื่อน BCG (Bio-Circular-Green Economy) ของภาครัฐที่ได้ระบุให้เป็นวาระแห่งชาติ โดยประกอบไปด้วย Bio-economy หรือเศรษฐกิจชีวภาพ ที่เน้นการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรชีวภาพอย่างคุ้มค่าโดยใช้เทคโนโลยีมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้มีมูลค่าสูงสุด Circular Economy หรือเศรษฐกิจหมุนเวียน ที่เน้นการใช้ทรัพยากรให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุด (Reuse Recycle Zero-waste) และ Green Economy หรือเศรษฐกิจสีเขียวที่มุ่งเน้นการลดผลกระทบต่อโลกอย่างยั่งยืน บริษัทฯ ได้มีการศึกษาร่วมกับสถาบันวิจัย และได้มีการลงทุนในธุรกิจที่ก่อให้เกิดรายได้ที่ต่อยอดจากโครงการโรงไฟฟ้า เป็นการขยายธุรกิจออกไปในด้านอื่นนอกจากการจำหน่ายกระแสไฟฟ้า และมีโอกาสทางธุรกิจที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งเป็นการสนับสนุนนโยบายของภาครัฐที่ไปในทิศทางเดียวกันกับเทรนด์ธุรกิจโลก” นายเชิดศักดิ์ กล่าว
นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการของบริษัทฯ เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลงวดปี 2564 เป็นเงินสดอีก 0.053 บาท/หุ้น กำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date)ในวันที่ 28 เมษายน 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 18 พฤษภาคม 2565 ซึ่งบริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในงวด 9 เดือนแรก ในอัตรา 0.343 บาท/หุ้นไปแล้ว เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2564 ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวขึ้นอยู่กับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นของบริษัทในวันที่ 21 เมษายน 2565
สำหรับภาพรวมผลการดำเนินงานของปี 2564 (สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2564) มีรายได้รวม 2,470.40 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.0% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวม 1,777.37 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 135.40 ล้านบาท
ขณะที่งวดไตรมาส 4/2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม 600.02 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 27.1% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีรายได้รวม 471.99 ล้านบาท
โดยปัจจัยสนับสนุนที่ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทฯ สามารถรับรู้รายได้จากการจำหน่ายไฟฟ้าเข้าระบบเชิงพาณิชย์ (COD) ของโครงการ โรงไฟฟ้าชีวมวลครบ 10 แห่ง ประกอบด้วย โรงไฟฟ้าชีวมวล CRB, MWE, MGP, TSG, PGP, SGP , PTG ,TPCH 5 , TPCH 1 และ TPCH 2 ซึ่งมีกำลังการผลิตรวม 106.8 เมกะวัตต์