“เครดิตสวิส” จัดธีม 4 กลุ่มน่าลงทุน ชู AOT-BDMS ท็อปพิก
"เครดิตสวิส" มองตลาดหุ้นไทย "Overweight" จัดธีม 4 กลุ่มเด่นน่าลงทุน ชู AOT-BDMS ท็อปพิก
“เครดิต สวิส” ปรับมุมมองตลาดหุ้นไทยเป็น Overweight (มีแนวโน้มเชิงบวกในอีก 12 เดือนข้างหน้า) โดยระบุว่า โมเมนตัมการปรับตัวเพิ่มขึ้นของ EPS นั้นโดดเด่นกว่าตลาดอื่นๆ ในภูมิภาค นอกจากนั้นแล้วค่าเงินบาทยังเป็นสกุลเงินที่มีเสถียรภาพ และมีความน่าเชื่อถือที่สุดในเอเชีย พร้อมกันนั้นยังมีการส่งออกที่จะช่วยกระตุ้นการบริโภคอีกด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ เครดิต สวิส ระบุว่า มีสัญญาณบ่งชี้ว่านักลงทุนมองอาเซียนเป็น Asset Class (กลุ่มสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องมากกว่าสินทรัพย์ชนิดอื่นๆ) เดียว จึงไม่แปลกที่จะมีแรงซื้อเข้ามาเนื่องจากเป็นตลาดที่มีสภาพคล่องสูงที่สุดในภูมิภาค
โดยในบทวิเคราะห์ของเครดิตสวิสชี้ให้เห็นว่าไทยมีแรงซื้อสุทธิจากต่างชาติเทียบเปอร์เซ็นต่อมาร์เก็ตแคปที่สูงที่สุด รองลงมาเป็นอินโดนีเซีย มาเลเซีย และฟิลิปปินส์ ขณะที่ไต้หวัน เกาหลี และอินเดียเห็นถึงแรงขายสุทธิจากต่างชาติ พร้อมกันนี้ยังระบุว่าประเทศไทยมีความเสี่ยงต่อการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดน้อยกว่า
ส่วนประเด็นเรื่องเงินบาท มองว่าเป็นสกุลเงินที่มีการปรับตัวในทิศทางที่แย่ที่สุดในเอเชียเมื่อปีที่แล้ว (บาทอ่อน) แต่ เครดิต สวิส เชื่อว่าดุลบัญชีเดินสะพัดจะช่วยขับเคลื่อนเงินบาทให้แข็งค่าขึ้นในปลายปีนี้ และต่อเนื่องไปถึงปีหน้า จากสามปัจจัยหลักด้วยกันคือ
1) การทรุดลงของนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ซึ่งคิดเป็น 8.5% ของ GDP ในปี 2562 และ 2) ค่าระวางที่สูงขึ้นจากการที่ไทยต้องพึ่งพายานขนส่งของต่างประเทศ และ 3) ราคาน้ำมันที่แพงขึ้น
ทั้งนี้ เครดิต สวิส เชื่อว่าสองปัจจัยที่เป็นตัวฉุดในขณะนี้ ซึ่งก็คือการท่องเที่ยว และค่าระวาง จะมีพัฒนาการที่ดีขึ้น จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่แทบจะเป็นสูงจึงทำให้แนวโน้มในอนาคตจะปรับตัวสูงขึ้นได้เรื่อยๆ โดยคาดว่าสิ้นไตรมาสสองน่าจะเห็นการเปิดประเทศในไทย และต่างประเทศที่เป็นเศรษฐกิจหลักของการท่องเที่ยวไทยเพื่อเริ่มดันตัวเลขการท่องเที่ยวต้นไตรมาสสาม
ส่วนค่าระวางเรือที่แตะจุดสูงสุดแล้วคาดว่าจะค่อยๆ ผ่อนลงหลังปัญหาที่ท่าเรือของสหรัฐคลี่คลายลง ส่วนน้ำมันเป็นสิ่งที่ค่อนข้างคาดการณ์ได้ยาก แต่เครดิต สวิส เชื่อว่าการปรับตัวขึ้นแบบก้าวกระโดดนั้นผ่านพ้นไปแล้ว
ด้านการส่งออกที่ถึงแม้ว่าจะไม่สามารถทดแทนส่วนที่หายไปจากการท่องเที่ยวได้ แต่ก็จะสามารถช่วยขับเคลื่อนการเติบโตด้านพื้นฐานอื่นๆได้ โดยการส่งออกที่ขยายตัว 23% ในปีที่แล้วนั้นถือว่ามากที่สุดในช่วง 11 ปี และจากการที่การส่งออกมีสัดส่วนใน GDP ที่ค่อนข้างสูง จึงจะทำให้สามารถสร้างรายได้ทางเศรษฐกิจให้กับประเทศได้ในระดับที่ดี และหากสถานการณ์ขาดแคลนไมโครชิพ และการระบาดของโอไมครอนดีขึ้นโดยไม่ต้องปิดโรงงาน เครดิต สวิส มองว่าการส่งออกของไทยปีนี้จะเหนือกว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชีย
ทั้งนี้ เครดิต สวิส ชี้ให้เห็นว่าแรงขับเคลื่อนจากการส่งออกที่ดีส่งผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ และทำให้การอุปโภคบริโภคดีขึ้น เห็นได้จากตัวเลขใน Google Mobility ที่ Retail & Recreation (จำนวนผู้เข้าใช้งานสถานที่ผ่อนคลายต่างๆ เช่น ร้านอาหาร บาร์ สวนสาธารณะ ห้างสรรพสินค้า เป็นต้น) ปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดที่ 13% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานช่วงก่อนโควิด-19ระบาด โดยตัวเลข Retail & Recreation ในไทยนั้นสูงสุดในเอเชียแปซิฟิก ส่งผลให้มีรายได้จากการค้าปลีก และการบริโภคที่สูงขึ้น
นอกจากนั้น เครดิต สวิส ยังชี้ให้เห็นว่าการปรับตัวสูงขั้นของ EPS ในหุ้นกลุ่ม domestic นั้นมีการปรับตัวที่สูงกว่าตลาดในอาเซียนตลอดสองเดือนที่ผ่านมา ส่วน EPS revision ของประเทศไทยนั้นสูงกว่าตลาดอื่นๆในเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) มาตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2564 แล้ว
โดยกลุ่มอุตสหกรรมของตลาดหุ้นไทย เครดิต สวิส มีมุมมอง Overweight ต่อกลุ่มธนาคาร สินค้าอุปโภคบริโภค และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศสำหรับการท่องเที่ยว เช่น AOT โรงแรม และ healthcare
กลุ่มแบงก์ การปรับตัวลดลงของต้นทุนความเสี่ยงของสินเชื่อ (credit cost) จะเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนกำไรของกลุ่มธนาคารปีนี้เมื่อเศรษฐกิจคงที่ ซึ่งหุ้นธนาคารของไทยยังถูกอยู่เมื่อเทียบกับภูมิภาค โดย เครดิต สวิส ยกให้ SCB (เป้า 180) และ KBANK (เป้า 198) เป็นสองหุ้นหลัก
กลุ่มอุปโภค มองว่ายัง laggard อยู่ ซึ่งจะเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์สูงสุดจากการเปิดประเทศ พร้อมยกให้ CPALL (เป้า 78) และ CRC (เป้า 45) เป็นท็อปพิก
กลุ่มท่องเที่ยว มองว่าจากการที่ยังไม่มีไทม์ไลน์การกลับมาของการท่องเที่ยวที่แน่ชัด ทำให้เครดิต สวิส ยังไม่ให้น้ำหนักกับกลุ่มท่องเที่ยวมากจนเกินไป แต่เชื่อว่าควรที่จะเข้าถือครองหุ้นไว้ก่อน โดยให้ AOT (เป้า 75) เป็นหุ้นท็อปพิก เนื่องจากได้ประโยชน์จากการท่องเที่ยวเต็มๆ และ AWC (เป้า 5.90) สำหรับหุ้นกลุ่มโรงแรมจากการเพิ่ม capacity
กลุ่ม Healthcare มองว่ากลุ่มสุขภาพ และโรงพยาบาลจะได้ประโยชน์ทั้งจากการให้บริการในประเทศเอง และจากกลุ่ม medical tourism จากการเปิดประเทศ โดยให้ BDMS (เป้า 27.50) เป็นหุ้นท็อปพิก