SYNEX จ่อเปิดตัว “เฮ้าส์แบรนด์” ไตรมาส 1/65 ตอกย้ำผู้นำ IT ครบวงจร

SYNEX เตรียมเปิดตัวสินค้า “เฮ้าส์แบรนด์” เป็นครั้งแรก คาดว่าได้เห็นความชัดเจนไตรมาสนี้ ฟากโบรกอัพกำไรปี 64-65 เคาะเป้าใหม่ 32 บ.


บริษัท ซินเน็ค (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SYNEX เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเปิดตัวสินค้าเฮ้าส์แบรนด์ของตัวเองเป็นครั้งแรกเพื่อตอกย้ำถึงความเป็นผู้นำในธุรกิจไอทีครบวงจร ตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ โดยคาดว่าจะเริ่มเห็นความชัดเจนในช่วงไตรมาส 1/65 นี้

ด้าน บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2565 คาดผลประกอบการทั้งปี 2564 ของ  SYNEX อยู่ที่ 833 ล้านบาท เติบโต 37.9% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยกลุ่มสินค้าไอทีได้ประโยชน์ตลอดทั้งปีที่ผ่านมา จากคำสั่งซื้อ iPhone12 ที่เลื่อนมาต้นปี 2564 พร้อมกับเทรนด์ Work from Home (WFH) จาก COVID-19 ในช่วงกลางปี และวันเปิดตัว iPhone13 ที่เร็วขึ้นกว่าปีก่อน

นอกจากนี้ ยอดขายกลุ่มคอมพ์ประกอบและอุปกรณ์เล่นเกมส์ (Gaming Gears) ยังคงเติบโตดี ตามเทรนด์ WFH และ Gaming ส่งผลให้มาร์จิ้นเติบโตขึ้นอย่างมาก คาดอัตรากำไรขั้นต้นปี 2564 อยู่ที่ 4.8% ถือเป็นปีทองของบริษัท สามารถทำรายได้และมาร์จิ้นเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด

นอกจากนี้ เนื่องด้วยยอดขายกลุ่มคอมพ์ ประกอบและอุปกรณ์เล่นเกมส์ (Gaming Gears) ยังคงเติบโตดี ตามช่วง WFH และ Gaming กำลังมาแรง ส่งผลให้มาร์จิ้นเติบโตขึ้นอย่างมาก คาดอัตรากำไรขั้นต้นปี 2021 อยู่ที่ 4.8% ซึ่งจัดได้ว่าเป็นการเติมโตของบริษัทอย่างมาก สามารถทหารายได้และมาร์จิ้นเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ บริษัทขยับเป้าหมายการเติบโตระยะยาวใหญ่ขึ้น จากที่ตั้งเป้าเป็น No.1 in IT Distributor เป็น No.1 in IT Ecosystem โดยขยายการเติบโตแบบแนวดิ่ง ส่วนต้นน้ำบริษัทจะออกสินค้า Owned Brand ซึ่งเบื้องต้นเน้นสินค้ากลุ่ม Gadgets ที่จะเปิดตัวภายในเดือนมีนาคมนี้

ส่วนปลายน้ำบริษัทจะพยายามสร้างทีมเพื่อให้บริการเป็นที่ปรึกษาวางระบบต่างๆ เช่น Cyber Security, Cloud Computing เป็นต้น พ่วงไปกับสินค้า Hardware และ Software ที่บริษัทขายอยู่เดิม พร้อมมองว่าการขยายธุรกิจในครั้งนี้มีโอกาสประสบความสำเร็จสูงและลงทุนน้อย ต่อยอดจุดแข็งที่มี ทั้งเรื่องช่องทางการจัดจำหน่ายและระบบการบริหารหลังบ้านที่ดี

ขณะที่ฝ่ายวิจัยปรับ PE ลงเป็น 28 เท่า จาก 30 เท่า เนื่องด้วยฐานสูงและไม่มีปัจจัยบวกพิเศษเหมือนกับปี 2563-64 ที่ผ่านมา โดยคาดกำไรมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 20.8% ในช่วงปี 2564 – 67 นอกจากนี้ปรับกำไรปี 2564-65 ขึ้นเล็กน้อย 2.3% และ 1.9% ตามลำดับ และได้ราคาเป้าหมายใหม่ที่ 32 บาท (PE ปี 65 ที่ 28 เท่า, PEG ปี 65 ที่ 1.4 เท่า) จาก Upside ที่มากกว่า 10% จึงคงคำแนะนำ “ซื้อ”

Back to top button