BLA งัดกลยุทธ์ “5 มิติ” ขับเคลื่อนธุรกิจ-รีเทิร์นลงทุนวิ่งตามดอกเบี้ย
BLA งัดกลยุทธ์ “5 มิติ” มุ่งสู่การเติบโตที่ยั่งยืน พร้อมชี้อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นจะเป็นปัจจัยหนุนให้การเงินของบริษัทเติบโต
นายโชน โสภณพนิช กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ BLA เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ผ่านรายการ “ข่าวหุ้น” ออกอากาศทางช่อง MCOT HD30 ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2565 โดยมีประเด็นสำคัญดังนี้
ปัจจัยสนับสนุนที่มีต่อผลประกอบการปี 2564
สำหรับบริษัทที่ประกอบธุรกิจประกันชีวิตจะต้องจับตาดูที่ 2 มิติหลัก ได้แก่ งบการเงิน และมูลค่าของธุรกิจใหม่ โดยงบ 9 เดือนแรกของปี 2564 โดยมีรายได้จากเบี้ยประกันภัยสุทธิรวมโต 3% โดยส่วนของเบี้ยประกันภัยปีต่อไปเติบโต 8% เนื่องจากมีการขยายตัวที่ดีจากการที่ลูกค้าให้ความสำคัญและเห็นประโยชน์ของกรมธรรม์ประกันชีวิต แล้วก็ยังมีศักยภาพและก็ความตั้งใจที่จะส่งเบี้ยประกันปีต่ออย่างต่อเนื่อง ส่วนเบี้ยประกันภัยรับปีแรกที่ปรับตัวลดลง 13% เป็นผลจากการล็อคดาวน์ซึ่งส่งผลการทำกิจกรรมทางธุรกิจมีการปรับตัวลดลงในช่วงไตรมาส 3/2564
โดยรายได้ที่สำคัญอีกช่องทางหนึ่งสำหรับบริษัทประกันชีวิต คือรายได้จากการลงทุน โดยกระแสอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวลดลงมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้รายได้จากการลงทุนในตราสารหนี้ที่บริษัทไปลงทุนใน 9 เดือนแรกของปี 2564 ก็ปรับตัวลดลงเช่นกัน
ทั้งนี้ ค่าใช้จ่ายของบริษัทจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปี 2564 นั่นก็คือการตั้งสำรองประกันชีวิต ที่อัตราดอกเบี้ยกลับมาสู่สภาวะปกติ โดยในปี 2564 ที่ผ่านมา ไม่มีค่าใช้จ่ายดังกล่าว ส่งผลให้กำไรของบริษัทเติบโต 2.9 พันล้านบาท จากเดิมที่ปีก่อนเติบโต 1.4 พันล้านบาท
การต่อยอดสินค้าที่ไม่ใช่แค่เรื่องของประกันภัย
บริษัทฯมุ่งเน้นในการสร้างอย่างยังยื่น ด้วยการงัดกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจด้วย 5 มิติที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าเป็นอย่างดีได้แก่
มิติที่ 1 : การให้บริการด้านสุขภาพด้านสุขภาพที่เป็นเลิศ จากการตื่นตัวของประชาชนอยากจะได้หลักประกันเพิ่มขึ้นในเรื่องของค่ารักษาดูแลสุขภาพล่วงหน้า ความต้องการที่จะได้ปรึกษาด้านการแพทย์-ด้านการดูแลสุขภาพ ทั้งช่วงที่สุขภาพดีหรือเจ็บป่วยรวมไปถึงช่วงที่พักฟื้น รวมทั้งคำแนะนำการเข้าใช้บริการสถานพยาบาลอย่างคุ้มค่าและเหมาะสมกับความต้องการมากที่สุด ซึ่งทั้งหมดนี้ก็คือมิติแรกที่มุ่งเน้นตอบโจทย์ลูกค้าด้วยบริการที่เป็นเลิศด้านสุขภาพ
มิติที่ 2 : การสร้างความมั่งคั่งหรือการบริการเรื่องของการออมและการลงทุนในระยะยาว โดยในเดือนกุมภาพันธ์ บริษัทฯจะมีประกันชีวิตแบบดั้งเดิมที่การันตีผลตอบแทน 100% รวมไปถึงประกันประเภทแบบมีปันผล ที่มีการการันตีผลตอบแทนขั้นต่ำ และได้รับปันจากการดำเนินงานของบริษัทที่สูงกว่าต้นทุน และแบบสุดท้าย Unit Link หรือ ประกันชีวิตที่ควบการลงทุน ซึ่งเป็นประกันชีวิตที่ควบการลงทุนที่ตอบสนองต่อลูกค้าที่สนใจทั้งเรื่องของสุขภาพควบคู่ไปกับการลงทุนนั่นเอง
มิติที่ 3 : การเปลี่ยนโฉมสู่ องค์กรดิจิทัล เพื่อให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการได้ง่ายมากขึ้น สะดวกมากขึ้น เข้าถึงข้อมูลที่เกี่ยวกับกรมธรรม์ของตัวเองและสามารถเข้ารับบริการต่างๆได้ รวมถึงการบริหารจัดการภายในขององค์กรทั้งกับพนักงานกับคู่ค้าและจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นเช่นกัน
มิติที่ 4 : การขยายความร่วมมือ โดยในปี 2564 ทางบริษัทฯ ได้จับมือร่วมกับ AIS , Rabbit Care , Shoee หรือ SC โบกรเกอร์ ในเครือ Singur เพื่อขยายการเข้าถึงและตอบโจทย์ลูกค้าได้กว้างขวางมากขึ้น
มิติที่ 5 : การขยายบทบาทความรับผิดชอบในด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมของบริษัท
ทั้งนี้สิ่งสำคัญที่บริษัทยึดมั่นที่สุด นั่นคือการให้ความเป็นธรรมและความชัดเจนให้กับลูกค้าในทุกๆ มิติ
แผนการดำเนินการปี 2565
ทางบริษัทฯ ให้ความสำคัญเรื่องของ Net promoter score หรือ NPS ซึ่งคือหน่วยวัดความประทับใจที่ลูกค้าได้รับความประทับใจจากการบริการและมีการบอกต่อ โดยการนำคะแนนมาหักลบให้เหลือในส่วนของลูกค้าที่มีความพอใจ (คะแนน 9-10) ทั้งนี้ตั้งเป้า NPS ที่ 44% จาก 40% ในปีก่อนหน้า และด้วยแนวทาง 5 มิติก็เป็นกุญแจสำคัญในการหนุนไปสู่เป้าหมาย NPS ที่ตั้งเป้าไว้
บริษัทได้รับผลประโยชน์อะไรบ้างจากการปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย
บริษัทฯ มีสินทรัพย์ลงทุนทั้งสิ้น 3.2 แสนล้านบาท โดยสัดส่วนการลุงทน 80% มุ่งไปที่ตราสารหนี้ , พันธบัตรรัฐบาล และ หุ้นกู้เอกชน ซึ่งเป็นสิ่งที่บริษัทลงทุนมาตั้งแต่อดีตมาจนถึงปัจจุบัน นอกจากนี้ บริษัทจะมีการรับเบี้ยเข้ามาใหม่ ซึ่งบริษัทจะมีการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนด้วย
ทั้งนี้การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย บริษัทจะมีรายได้จากการลงทุนสูงขึ้น ซึ่งจะทยอยรับรู้ในอนาคต ซึ่งจะเป็นตัวหนุนช่วยสนับสนุนฐานการเงินในบริษัท รวมทั้งจากการที่บริษัทลงทุนได้ผลตอบแทนสูงขึ้น จะสามารถจ่ายเงินปันผลสำหรับผู้ถือกรมธรรม์ประเภทที่มีเงินปันผลได้มากขึ้นเช่นเดียวกัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือกรมธรรม์ รวมทั้งประเภทควบการลงทุนในส่วนที่มีอัตราผลตอบแทนสูงขึ้นก็จะส่งผลดีในระยะยาวเช่นกัน และสิ่งสำคัญคือตัวเลขฐานะทางการเงินบริษัทที่สะท้อนผ่านความเพียงพอของบริษัท ก็จะมีตัวเลขในส่วนนี้ที่สูงขึ้นเช่นกัน และสุดท้ายก็คือโอกาสในการตั้งสำรองหนี้ ก็จะมีน้อยลง