MINT เตรียมออกหุ้นกู้ e-Bond ชูดบ.สูง 3.70% ลุยขาย 21-23 มี.ค.นี้
MINT เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ e-Bond รวม 3 ชุด รับดอกเบี้ยสูงสุด 3.70% คาดเปิดขายระหว่างวันที่ 21-23 มี.ค. พร้อมสิทธิพิเศษร้านอาหารในเครือ 6 แบรนด์ดัง
นายชัยพัฒน์ ไพฑูรย์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายพัฒนาเชิงกลยุทธ์ บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมเสนอขายหุ้นกู้ MINT e-Bond ครั้งที่ 1/2565 ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน มีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ และผู้ออกหุ้นกู้มีสิทธิไถ่ถอนหุ้นกู้ก่อนวันครบกำหนดไถ่ถอน รวม 3 ชุด ประกอบด้วย
- หุ้นกู้ ชุดที่ 1 อายุ 3 ปี 2 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ราว 2.90-3.10% ต่อปี
- หุ้นกู้ ชุดที่ 2 อายุ 5 ปี 4 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ราว 3.50%-3.70% ต่อปี
- หุ้นกู้ดิจิทัล ชุดที่ 3 อายุ 4 ปี 4 เดือน อัตราดอกเบี้ยคงที่ราว 3.20-3.40% ต่อปี
ทั้งนี้ ดอกเบี้ยสุดท้ายจะกำหนดและแจ้งในภายหลัง โดยกำหนดชำระดอกเบี้ยทุก 6 เดือน ตลอดอายุหุ้นกู้ทั้ง 3 ชุด
โดยหุ้นกู้ดังกล่าวได้การจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ A จากบริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด เมื่อวันที่ 13 ม.ค. 65 ตอกย้ำถึงศักยภาพและความแข็งแกร่งของบริษัทฯ ที่เป็นผู้ดำเนินธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และไลฟ์สไตล์ชั้นนำระดับโลก โดยหุ้นกู้ ชุดที่ 1 และชุดที่ 2 จะเสนอขายแก่ประชาชนเป็นการทั่วไปเฉพาะบุคคลธรรมดาที่บรรลุนิติภาวะแล้ว ส่วนหุ้นกู้ดิจิทัล ชุดที่ 3 จะเสนอขายต่อประชาชนเป็นการทั่วไปเฉพาะบุคคลธรรมดาที่บรรลุนิติภาวะแล้ว ถือสัญชาติไทยเพียงสัญชาติเดียว และมีภูมิลำเนาและถิ่นที่อยู่ในประเทศไทยเท่านั้น
สำหรับ MINT e-Bond ถือเป็นครั้งแรกที่บริษัทเอกชนออกหุ้นกู้ที่เป็นแบบ Scripless (ไร้ใบหุ้นกู้) ผ่าน 5 สถาบันการเงินพันธมิตรร่วม เพื่อลดการใช้กระดาษสอดคล้องกับเทรนด์รักษ์โลกและมุ่งสู่ยุคดิจิทัล โดยหุ้นกู้ชุดที่ 1 และชุดที่ 2 จะฝากเข้าพอร์ตหลักทรัพย์ของผู้ลงทุนเท่านั้น โดยผู้ลงทุนที่ยังไม่มีพอร์ตหลักทรัพย์สามารถเปิดพอร์ตออนไลน์ได้ด้วยตนเองและไม่มีค่าใช้จ่าย
โดยหุ้นกู้ชุดที่ 3 จะถูกฝากไว้ที่ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์ผ่านบัญชีของธนาคารกรุงไทย (KTB) ในฐานะผู้รับฝากหลักทรัพย์ โดยหุ้นกู้จะถูกฝากเข้าสู่ระบบ Scripless ที่บัญชี Wallet Scripless ทั้งนี้ สำหรับหุ้นกู้ทั้ง 3 ชุด หากผู้ลงทุนต้องการเปลี่ยนแปลงเป็นรูปแบบใบหุ้นกู้ในภายหลัง สามารถแจ้งนายทะเบียนหุ้นกู้ได้ (มีค่าธรรมเนียม)
“ความพิเศษของการเสนอขายหุ้นกู้ครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกที่ผู้จองซื้อจะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจากการจ่ายดอกเบี้ยหุ้นกู้ โดย MINT ได้มอบส่วนลด 10% จากราคาปกติ (ตามเงื่อนไขที่บริษัทฯ กำหนด) เมื่อใช้บริการร้านอาหารในเครือของบริษัทที่ร่วมรายการ 6 แบรนด์ ได้แก่ เดอะพิซซ่า คอมปะนี, บอนชอน, สเวนเซ่นส์, ซิซซ์เล่อร์, เบอร์เกอร์คิงส์ และเดอะ คอฟฟี่ คลับ (ยกเว้นสาขาในสนามบิน) ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ค. 65 ไปตลอดอายุหุ้นกู้ที่ลงทุนโดยไม่จำกัดจำนวนครั้ง” นายชัยพัฒน์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะเปิดจองซื้อหุ้นกู้ทั้ง 3 ชุดระหว่างวันที่ 21-23 มี.ค.นี้ โดยกำหนดจำนวนจองซื้อขั้นต่ำเพียง 10,000 บาท และเพิ่มขึ้นครั้งละ 10,000 บาท และจำกัดจำนวนจองซื้อสูงสุดไม่เกิน 50 ล้านบาท/ราย/ผู้จัดการการจัดจำหน่ายหุ้นกู้ เพื่อให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงการลงทุนในหุ้นกู้ครั้งนี้ได้อย่างทั่วถึง โดยบริษัทจะนำเงินไปใช้ชำระคืนหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในเดือนมี.ค. 65 และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ
โดยการเสนอขายหุ้นกู้ชุดที่ 1-2 จะเสนอขายผ่านทางช่องทางต่างๆ ของสถาบันการเงินทั้ง 5 แห่ง ได้แก่ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ธนาคารกรุงไทย (KTB) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) และบล.เกียรตินาคินภัทร ซึ่งรวมถึงธนาคารเกียรตินาคินภัทร (KKP) ในฐานะหน่วยงานขาย
ส่วนการเสนอขายหุ้นกู้ดิจิทัล ชุดที่ 3 จะเปิดจองซื้อผ่านวอลเล็ตซื้อขายหุ้นกู้บนแอปพลิเคชัน เป๋าตัง ของ KTB เท่านั้น โดยผู้จองซื้อสามารถดาวน์โหลดและติดตั้งแอปพลิเคชันเป๋าตัง สมัครใช้บริการวอลเล็ตซื้อขายหุ้นกู้ ทำแบบประเมินความเสี่ยงผู้ลงทุนให้เรียบร้อย ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และเติมเงินใน Wallet ID ให้พร้อมสำหรับการจองซื้อหุ้นกู้ดิจิทัลพร้อมกัน ตั้งแต่เวลา 08.30 น. ของวันที่ 21 มี.ค. 65 ถึงเวลา 15.00 น. ของวันที่ 23 มี.ค. 65 หรือจนกว่าจะมีผู้จองซื้อเต็มจำนวนหุ้นกู้ที่เสนอขายแล้ว
นอกจากนี้ผู้ลงทุนที่ได้รับการจัดสรรหุ้นกู้สามารถซื้อขายหุ้นกู้ดิจิทัลได้แบบเรียลไทม์ ในตลาดรองตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านวอลเล็ตซื้อขายหุ้นกู้ทางแอปพลิเคชัน เป๋าตัง ได้ตั้งแต่วันออกหุ้นกู้เป็นต้นไป
โดยปัจจุบัน MINT มี 3 ธุรกิจหลัก ได้แก่ 1) ไมเนอร์ ฟู้ด หนึ่งในผู้ประกอบธุรกิจร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชีย โดยมีร้านอาหาร 2,389 สาขา ใน 24 ประเทศ เช่น เดอะพิซซ่า คอมปะนี, บอนชอน, สเวนเซ่นส์ เป็นต้น 2) ไมเนอร์ โฮเทลส์ ผู้ประกอบการธุรกิจโรงแรมและเซอร์วิส สวีท ระดับโลก โดยมีโรงแรมในเครือรวม 527 แห่งใน 55 ประเทศ จำนวน 75,621 ห้อง เช่น อนันตรา, อวานี, เอ็นเอช โฮเทลส์ เป็นต้น และ 3) ไมเนอร์ ไลฟ์สไตล์ หนึ่งในผู้จัดจำหน่ายสินค้าแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ที่ใหญ่ที่สุดของไทย เช่น anello, Charles and Keith, bodum, bossini เป็นต้น
สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกปี 64 บริษัทมีรายได้รวม 47,831 ล้านบาท เติบโต 9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยรายได้หลักยังคงมาจากธุรกิจโรงแรม และมี EBITDA เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนในอัตราที่สูงกว่าการเติบโตของรายได้ เนื่องจากธุรกิจโรงแรมฟื้นตัวดี โดยเฉพาะโรงแรมในมัลดีฟส์ที่มีผลการดำเนินงานดีขึ้นต่อเนื่องจนอยู่ในระดับที่เหนือกว่าก่อนเกิด COVID-19 และโรงแรมในยุโรปที่กลับมาเปิดบริการแล้วกว่า 95% รวมถึงมีประชากรได้รับวัคซีนแล้วกว่า 70% ทำให้ผลประกอบการปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
โดยขณะเดียวกันธุรกิจร้านอาหารรายงานผลกำไรติดต่อกันมาตั้งแต่ไตรมาส 3/63 จากการมุ่งเน้นกลยุทธ์บริการจัดส่งอาหาร ออกผลิตภัณฑ์ใหม่และลดต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ทางบริษัทฯ ได้วางกลยุทธ์ปรับลดการลงทุนในสินทรัพย์ มุ่งบริหารจัดการต้นทุนอย่างรัดกุมโดยยังคงคุณภาพของผลิตภัณฑ์และบริการ โดยสภาพคล่อง ณ สิ้นเดือนม.ค. 65 บริษัทมีเงินสดในมือถึง 23,000 ล้านบาท และมีวงเงินกู้ยืมที่เตรียมไว้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการอย่างเพียงพอ
“บริษัทได้ปรับตัวและทรานส์ฟอร์มธุรกิจเพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแกร่งยิ่งขึ้น พร้อมจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดรับการฟื้นตัวของภาพรวมอุตสาหกรรมหลังโควิด-19 สอดคล้องกับธีมของบริษัท ในปีนี้ว่า Strong Foundations. Positioned for Recovery. และเชื่อว่าธุรกิจของเราจะได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและการท่องเที่ยว อัตราเข้าพักและราคาเฉลี่ยของห้องพักที่เพิ่มขึ้น รวมถึงหลายประเทศได้ปรับนโยบายมุ่งเน้นการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับโควิด-19 ด้วยการกำหนดเป้าหมายการฉีดวัคซีน” นายชัยพัฒน์ กล่าว