SCB CIO แนะจับจังหวะหุ้น “สหรัฐ” เน้นสะสมกลุ่ม Quality Growth & Value
SCB CIO แนะจับจังหวะทยอยสะสมกลุ่ม Quality Growth & Value ชี้ช่องหุ้น “ไทย-เวียดนาม” เป็นที่หลบภัยที่ดีและสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดี
ดร.กำพล อดิเรกสมบัติ ผู้อำนวยการอาวุโส SCB Chief Investment Office (SCB CIO) ธนาคารไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อที่เร่งตัวสูงขึ้นในช่วงครึ่งแรกของปี และมีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปีแต่ยังอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายเงินเฟ้อของธนาคารกลางหลัก รวมถึงการฟื้นตัวของตลาดแรงงานทำให้ธนาคารกลางหลัก เช่น Bank of England, US Federal Reserve และล่าสุด European Central Bank ทยอยส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ SCB CIO จึงได้ปรับมุมมองการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed fund rates) ในปี 2565 คาดว่าจะมีการปรับขึ้น 175 bps (จากเดิม 100 bps) โดยเป็นการปรับขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกเป็นหลัก (front-loaded rate hikes) และมีโอกาสที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย 50 bps ในการประชุม Fed ระหว่างวันที่ 15-16 มีนาคมนี้
ส่วนในยุโรปตลาดเริ่มมีการปรับคาดการณ์การขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายและทำ QE taper คาดว่าจะเสร็จสิ้นในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2565 ด้านความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครนเป็นปัจจัยที่ต้องเฝ้าระวัง แม้โอกาสการเกิดสงครามเต็มรูปแบบค่อนข้างตํ่า แต่ความตึงเครียดมีแนวโน้มยืดเยื้อ อาจจะมีผลกระทบช่วงสั้นจากมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจมีแนวโน้มถูกนำมาใช้จะตกอยู่กับตลาดการเงินรัสเซีย กลุ่มธนาคารยุโรปที่มีการปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจในรัสเซีย และเป็นปัจจัยเสี่ยงทำให้ราคาพลังงานอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง
ด้านตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้นมีการรับรู้ (priced-in) ดอกเบี้ยขาขึ้นไปบ้างแล้ว แต่ยังรอความชัดเจนเพิ่มเติมจากธนาคารกลางหลัก โดยอัตราผลตอบแทนพันธบัตรเร่งตัวขึ้นเร็วกว่าอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่แท้จริง (real yields) เร่งตัวสูงขี้น แต่ยังอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับช่วงก่อนโควิด-19 การคาดการณ์เงินเฟ้อของตลาดโดยรวมยังเชื่อว่าเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงในช่วงครึ่งปีหลัง ปัจจัยเสี่ยงหลักคือราคาพลังงานที่ยังอยู่ในระดับสูง
โดยหากราคาพลังงานไม่ชะลอตัวลง อัตราเงินเฟ้อสูงอาจมีแนวโน้มยืดเยื้อกว่าที่คาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ จากแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายขาขึ้นทำให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะสั้นเร่งตัวขึ้นเร็วกว่าอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาว ส่งผลให้ yield curve ในหลายประเทศเริ่มมีความชันลดลง (flattening) ส่วนผลประกอบการของหุ้นขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ที่ประกาศออกมายังคงมีแนวโน้มเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ผลประกอบการของบริษัทขนาดเล็กเริ่มมีสัญญาณชะลอตัวลง
ดร.กำพล กล่าวต่อไปว่า SCB CIO แนะนำทยอยสะสมหุ้นสหรัฐฯ และยุโรป ส่วนตลาดหุ้นเวียดนามและไทยเป็นที่หลบภัยที่ดี ปรับมุมมองทองคำเป็น Neutral และน้ำมันเป็น Slightly positive เพื่อ Hedge เงินเฟ้อ อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วจาก Fed ผลตอบแทนสินทรัพย์เสี่ยงมีแนวโน้มชะลอตัวลง และมีความผันผวนมากขึ้น ทำให้การลงทุนควรเป็นลักษณะ Selective buy
โดยนักลงทุนที่รับความผันผวนได้ยังเน้นให้ลงทุนในตลาดหุ้นมากกว่าตลาดพันธบัตร เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond Yield) ทั้งในระยะสั้นและระยะยาวมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้น โดยตลาดพันธบัตรควรเน้นลงทุนตราสารหนี้ระยะสั้นที่มี Duration น้อยกว่า 2 ปี และเลี่ยงการลงทุนในตราสารหนี้เอเชีย High Yield ที่มีหุ้นกู้จีน High Yield รวมถึงตราสารหนี้ยุโรป High Yield โดยเฉพาะกลุ่มธนาคารที่อาจได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในตลาดหุ้นแนะนำทยอยสะสมในช่วงที่ตลาดหุ้นมีการปรับตัวลดลง (Buy on dip) แม้ตลาดหุ้นส่วนใหญ่จะได้รับผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยที่รวดเร็ว โดยเชื่อว่าหุ้นในตลาดยุโรปและสหรัฐฯ ในกลุ่ม Quality growth และ Value มีแนวโน้มฟื้นตัวได้เร็วกว่าหุ้นกลุ่มอื่นๆ
โดยเน้นหุ้นที่มี Pricing power สูง มีงบดุลแข็งแกร่ง และมี Valuation ที่สมเหตุสมผลสอดคล้องกับศักยภาพการเติบโตของผลกำไร ทางด้านตลาดหุ้นเวียดนามและไทย มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจำกัดจากอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ขึ้นช้ากว่าเศรษฐกิจที่คาดการณ์ว่าผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และเป็นตลาดที่มีหุ้นกลุ่ม Tech และGrowth ค่อนข้างน้อย จึงเป็นที่หลบภัยที่ดี เหมาะสำหรับการลงทุนในช่วงเวลานี้
สำหรับนักลงทุนมั่งคั่งระดับสูง การลงทุนใน Private Asset เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่สามารถเพิ่มประสิทธิภาพการลงทุนและลดความผันผวนให้กับพอร์ตโดยรวมได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ในช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบ เช่น ตลาดหุ้นไทย การลงทุนใน Structure Note KIKO (ตราสารอนุพันธ์ที่อ้างอิงกับราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์) เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่สามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้อีกด้วย