ASW ปักธงปี 65 ยอดขายทะลุหมื่นลบ. ปูทางขึ้นผู้นำอสังหาฯ
ASW ปักธงปี 65 ยอดขายทะลุ 1 หมื่นลบ. และเป้ารายได้กว่า 6 พันลบ. ดันผลงานโตต่อเนื่อง ตั้งเป้าก้าวขึ้นสู่ท็อปผู้พัฒนาอสังหาฯ ชั้นนำของประเทศ หลังปี 64 โชว์ฟอร์มแกร่งกวาดรายได้กว่า 5 พันลบ. จ่ายปันผล 0.40 บาท/หุ้น พร้อมแจกวอร์แรนท์
นายกรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ASW บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นผู้นำด้านไลฟ์สไตล์ภายใต้แนวคิด “ความสุขที่ออกแบบมาเพื่อคุณ” หรือ “We Build Happiness” เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวมอยู่ที่ 5,034 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 951 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากงวดเดียวกันของปีก่อน สร้างสถิติสูงสุดใหม่นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ขณะที่บริษัทฯ ยังคงความสามารถรักษาอัตราการทำกำไรขั้นต้น (GP) ได้ในระดับสูงต่อเนื่องที่ 44% และอัตรากำไรสุทธิ (NP) ที่ 19% สะท้อนการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้การบริหารงานของทีมงานมืออาชีพที่มีประสบการณ์ในวงการอสังหาฯ มาอย่างยาวนาน
พร้อมกันนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทครั้งที่ 2/2565 ได้มีมติอนุมัติจ่ายเงินปันผลให้กับผู้ถือหุ้นเป็นเงินสด ในอัตราหุ้นละ 0.40 บาท/หุ้น พร้อมแจกวอร์แรนท์ (“ASW-W1”) จำนวนไม่เกิน 285,373,707 หน่วยให้แก่ผู้ถือหุ้นเดิมตามสัดส่วนการถือหุ้นในอัตราส่วน 3 หุ้นสามัญเดิม ต่อ 1 หน่วยใบสำคัญแสดงสิทธิ โดยใบสำคัญแสดงสิทธิดังกล่าวมีอายุ 2 ปี นับจากวันที่ได้ออกใบสำคัญแสดงสิทธิ มีอัตราการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิ 1 หน่วยต่อหุ้นสามัญ 1 หุ้น และมีราคาการใช้สิทธิเท่ากับ 12.00 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้น (Record Date) ที่มีสิทธิรับเงินปันผล และมีสิทธิได้รับการจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิ ครั้งที่ 1 (ASW-W1) คือ วันที่ 11 มีนาคม 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลพร้อมรับการจัดสรรใบสำคัญแสดงสิทธิในวันที่ 5 พฤษภาคม 2565
สำหรับแนวโน้มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปีนี้คาดว่าจะกลับมาเติบโตได้ดี จากปัจจัยการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่คาดการณ์กันว่า GDP ในปีนี้มีแนวโน้มเติบโต 3 – 4% การเปิดประเทศ การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ การผ่อนปรนหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย (มาตรการ LTV หรือ Loan to Value) เป็นการชั่วคราวให้สามารถปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยรวมกับสินเชื่อที่เกี่ยวเนื่องได้ 100% ของมูลค่าหลักประกัน ตลอดจนการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนจาก 2% และลดค่าจดจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% สำหรับอสังหาริมทรัพย์ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท มีผลตั้งแต่ 18 มกราคม – 31 ธันวาคม 2565
ทั้งนี้บริษัทฯ จึงพร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจตามแผนงานที่วางไว้ เพื่อตอบรับกับโอกาสทางธุรกิจ และผลักดันผลการดำเนินงานให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2565 ตั้งเป้าหมายรายได้รวมที่ 6,000 ล้านบาท เติบโต 19% เพื่อผลักดันผลการดำเนินงานสู่การสร้างสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง โดยตั้งเป้าหมายสู่การเป็นหนึ่งในท็อป 10 บริษัทผู้พัฒนาอสังหาฯ ชั้นนำของประเทศ
ด้านเป้าหมายการดำเนินธุรกิจปี 2565 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายพรีเซลที่ 10,000 ล้านบาท และยอดรับรู้รายได้ 6,000 ล้านบาท โดยตั้งเป้าเปิดโครงการใหม่ 7 โครงการ มูลค่ารวม 12,400 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการคอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 7,550 ล้านบาท และโครงการแนวราบอีก 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 4,850 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนคอนโดมิเนียม 60% และบ้าน 40%
อีกทั้งในปีนี้บริษัทฯ มีโครงการใหม่ที่ก่อสร้างแล้วเสร็จเพื่อรับรู้รายได้อย่างต่อเนื่องถึง 7 โครงการ อาทิ โครงการ โมดิซ คอลเลคชั่น บางโพ มูลค่าโครงการ 1,230 ล้านบาท ,โครงการ เคฟ ศาลายา มูลค่าโครงการ 1,200 ล้านบาท, โครงการ เคฟ เอวา มูลค่าโครงการกว่า 2,300 ล้านบาท ฯลฯ รวมทั้งการการลงทุนในทุกรูปแบบ การร่วมมือหรือ Synergy เพื่อสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เพื่อต่อยอดโอกาสทางธุรกิจ และสนับสนุนต่อการสร้างรายได้และผลกำไรแก่บริษัทอย่างแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี ณ สิ้นปี 2564 บริษัทฯ พัฒนาโครงการรวม 38 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 38,000 ล้านบาท ในจำนวนดังกล่าวเป็นโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและโครงการพร้อมอยู่จำนวน 29 โครงการ และโครงการที่กำลังเปิดขายและอยู่ระหว่างการพัฒนา จำนวน 9 โครงการโดยปัจจุบันบริษัทฯ มียอดรอรับรู้รายได้ (Backlog) มูลค่ารวมกว่า 7,338 ล้านบาท ที่จะทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่อง