SKR เปิดงบปี 64 กำไรนิวไฮ 1.4 พันลบ. โต 3 เท่าตัว อานิสงส์ผู้ป่วยพุ่ง
SKR ปี 64 กำไรนิวไฮ 1.4 พันลบ. เติบโต 300% รับอานิสงส์จำนวนคนไข้เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะรายได้กลุ่มคนไข้รักษาโรคเฉพาะทางที่ซับซ้อนด้วยการผ่าตัดมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการร่วมมือกับภาครัฐในการบริหารจัดการคนไข้โควิด-19 ส่วนแนวโน้มปี 65 ยังคงเติบโตจาก 2 กลุ่มธุรกิจหลัก Hospital และ Non-Hospital
นายสุริยันต์ โคจรโรจน์ กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศิครินทร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SKR โดยทางบริษัทได้จดทะเบียนผู้ประกอบธุรกิจโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ที่มีการดำเนินงานโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาลในกลุ่ม ESG Emerging List (ทำเนียบกลุ่มบริษัทวิถียั่งยืนที่น่าลงทุน)
ทั้งนี้ในปี 2564 บริษัทได้เปิดเผยผลประกอบการว่า บริษัทมีรายได้รวม 6,377.34 ล้านบาท เติบโต 2,469.74 ล้านบาท หรือ 63.20% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีรายได้รวม 3,907.60 ล้านบาท ขณะที่บริษัทฯมีกำไรสุทธิเติบโตต่อเนื่องแตะ 1,395.30 ล้านบาท เติบโต 299.02% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้ามีกำไรสุทธิ 349.68 ล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินงานเติบโตก้าวกระโดด ซึ่งเพิ่มขึ้นทั้งรายได้และกำไรสุทธิมาจากการเพิ่มขึ้นของกลุ่มคนไข้รักษาโรคเฉพาะทางที่ซับซ้อนด้วยการผ่าตัดและกลุ่มผู้เข้ารับบริการโดยใช้สิทธิประกันสังคม รวมถึงการร่วมมือกับภาครัฐในการออกตรวจเชิงรุกและการรับรักษาผ่านสถานพยาบาลผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospitel) โดยโรงพยาบาลศิครินทร์ ร่วมกับ สำนักงานประกันสังคม เปิดตัวโครงการ “Hospitel เพื่อผู้ประกันตน” ผ่าน 7 โรงแรมชั้นนำ สามารถรองรับการรักษากว่า 3,500 เตียง เพื่อสร้างความปลอดภัยแก่ผู้ประกันตนและเป็นการลดการติดต่อแพร่ระบาดของโควิด-19
พร้อมกับโรงพยาบาลในเครืออีก 2 โรงพยาบาล ได้แก่ โรงพยาบาลศิครินทร์ สมุทรปราการ และโรงพยาบาลศิครินทร์ หาดใหญ่ ร่วมกับ สำนักงานประกันสังคม กระทรวงแรงงาน ออกหน่วยตรวจคัดกรองเชิงรุกโควิด-19 โดยตรวจวิเคราะห์แบบ RT-PCR สำหรับผู้ประกันตนในพื้นที่จังหวัดกรุงเทพมหานคร สมุทรปราการ และสงขลา รวมถึงการดำเนินการโครงการการป้องกันและควบคุมการแพร่ระบาดในโรงงาน หรือ Factory Sandbox ควบคู่ไปกับการจัดทำมาตรการป้องกันควบคุมในพื้นที่เฉพาะ หรือ Bubble & Seal
ขณะที่ค่าใช้จ่ายการดำเนินการรวมค่าเสื่อมราคาของปี 2564 อยู่ที่จำนวน 4,610.13 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.45% จากจำนวน 3,507.06 ล้านบาท ในปีก่อนหน้า เป็นผลมาจากต้นทุนการรักษาพยาบาล จำนวน 3,509.24 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.14% จากปีก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากจำนวนคนไข้ที่เพิ่มมากขึ้น ทั้งจากการกลุ่มลูกค้าทั่วไป ประกอบด้วย จ่ายเงินสด บริษัทคู่สัญญา บริษัทประกันชีวิต และกลุ่มลูกค้าประกันสังคม
รวมถึงการร่วมมือกับภาครัฐในการบริหารจัดการคนไข้ตามสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 เช่น การตรวจคัดกรอง การออกตรวจค้นหาเชิงรุก การบริการฉีดวัคซีนภาครัฐและการรับรักษาผ่านสถานพยาบาลผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospitel) ทั้งนี้ในส่วนการบริหารต้นทุนยังทำได้ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยสัดส่วนของต้นทุนกิจการโรงพยาบาลต่อรายได้จากกิจการโรงพยาบาล อยู่ที่ 55.53% ลดลง 15.22% จาก 70.75% ในปี 2563
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในปี 2565 นั้น นายสุริยันต์ มั่นใจว่า ยังคงเติบโตจาก 2 กลุ่มธุรกิจหลัก คือ กลุ่ม Hospital ผ่านการเพิ่มศักยภาพทางการแพทย์ผ่านสถาบันการแพทย์เฉพาะทางด้านต่าง ๆ เช่น ศูนย์โรคมะเร็ง หรือ ศูนย์ส่องกล้องครบวงจร สำหรับกลุ่มลูกค้าประกันสังคม ทางเครือโรงพยาบาลศิครินทร์เปิดตัวโครงการ “ประกันสังคม พลัส” เพื่อรองรับและอำนวยความสะดวกสำหรับผู้ประกันตนตามโควต้าประมาณ 5 แสนราย โดยพัฒนาระบบการให้บริการสำหรับลูกค้าประกันสังคมผ่านแนวคิด “รอคิวไม่นาน พบหมอเฉพาะทางทันที” และผ่าตัดด้วยมาตรฐานสากลระดับโลก”
ส่วนกลุ่มที่ 2 คือ กลุ่ม Non-Hospital หลังจากคณะกรรมการมีมติเพิ่มเงินลงทุนในบริษัทย่อย ส่งผลให้การพัฒนาเพิ่มผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพด้านต่าง ๆ ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคมีแนวทางที่ชัดเจนมากขึ้น โดยธุรกิจกลุ่ม Non-Hospital จะสร้างประโยชน์ให้ผู้บริโภคมีทางเลือกในการซื้อสินค้าเพื่อสุขภาพอย่างยั่งยืนมากขึ้น
“ตั้งแต่ปี 2565 เป็นต้นไป โครงสร้างรายได้ในธุรกิจโรงพยาบาลจะแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มลูกค้าทั่วไป กลุ่มลูกค้าสวัสดิการภาครัฐ และ กลุ่มงานโครงการภาครัฐ ซึ่งการเติบโตต่อจากนี้ เราจะมุ่งสร้างการรับรู้แบรนด์ “Sikarin” ให้เกิดการยอมรับจากลูกค้าและสามารถเชื่อมโยงได้อย่างถูกต้องกับผลิตภัณฑ์หรือบริการนั้น ๆ ภายใต้แนวคิด “ศิครินทร์ เคียงข้างคุณ” ส่วนการพัฒนาเรื่องบุคลากรในทุกระดับ จะถูกบริหารจัดการผ่านสถาบัน Sikarin Academy ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือระหว่าง บริษัท ศิครินทร์ จำกัด (มหาชน) กับ Chulalongkorn Business School” นายสุริยันต์ กล่าว