โบรกแนะ “ซื้อ” TOA เป้า 37 บ. ชี้กำไรปี 65 แตะ 2.1 พันลบ. รับยอดขาย-ดีมานด์เพิ่ม

โบรกแนะ “ซื้อ” TOA เป้า 37 บ. ชี้กำไรปกติปี 65 แตะ 2.1 พันลบ. โดยมีแรงหนุนจากการปรับขึ้นของยอดขาย ตามความต้องการใช้สีที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ และกิจกรรมก่อสร้างราบรื่น


บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (25 ก.พ. 2565) บริษัท ทีโอเอ เพ้นท์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ TOA ว่า บริษัทฯ รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 4/2564 อยู่ที่ 473 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76% จากไตรมาสก่อน แต่ลดลง 4% จากงวดเดียวกันของปีก่อน หักรายการพิเศษจากกำไรอัตราแลกเปลี่ยนและมูลค่ายุติธรรมสินทรัพย์การเงินรวม 71 ล้านบาท ส่วนกำไรปกติไตรมาส 4/2564 เป็นไปตามที่ทางฝ่ายวิจัยคาด ทำได้ 401 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46% จากไตรมาสก่อน แต่ลดลง 19% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยการเติบโตจากไตรมาสก่อน หนุนจากยอดขายเพิ่มขึ้น 17% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 12% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ที่ 4.7 พันล้านบาท จากการปรับราคาขายขึ้นรอบที่ 2 บวกกับปริมาณการขายดีขึ้นหลังคลายมาตรการล็อกดาวน์, สถานการณ์ COVID-19 คลายตัว และการก่อสร้างกลับมาดาเนินการหลังถูกปิดแคมป์ในไตรมาส 3/2564

อย่างไรก็ตามผลประกอบการหดตัวจากงวดเดียวกันของปีก่อน สาเหตุมาจากการเพิ่มขึ้นของต้นทุนวัตถุดิบ ส่งผลให้อัตรากาไรขั้นต้นทรงตัวระดับต่ำที่ 30.20% ลดลงจาก 36.10% ในไตรมาส 4/2563  ทั้งนี้ บริษัทฯ ประกาศจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งปีหลัง 2564 ที่ 0.19 บาท/หุ้น Yield 1% ขึ้น XD วันที่ 5 พ.ค. และจ่ายปันผล 23 พ.ค. 2565

ทั้งนี้จบปี 2564 กำไรสุทธิอยู่ที่ 1.95 พันล้านบาท ลดลง 4% จากงวดเดียวกันของปีก่อน หากไม่รวมรายการพิเศษ กำไรปกติทำได้ 1.8 พันล้านบาท ลดลง 10% จากงวดเดียวกันของปีก่อน แม้ยอดขายเพิ่มขึ้น 8% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากราคาและปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น แต่ปัจจัยดังกล่าวไม่สามารถชดเชยต้นทุนการผลิตทั้ง TiO2 และ Oil linked ที่สูงขึ้นได้

สำหรับปี 2565 คงประมาณการกำไรปกติที่ 2.10 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.50% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยมีแรงหนุนจากการปรับขึ้นของยอดขาย ตามความต้องการใช้สีที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ และกิจกรรมก่อสร้างราบรื่น แม้แนวโน้มต้นทุนพลังงานและ TiO2 สูงขึ้น แต่บริษัทน มีแนวทางขยับราคาขึ้นอีกให้สะท้อนต้นทุน บวกกับผลของการรวมงบ GMT ตั้งแต่ไตรมาส 2/2565 ซึ่งมีมาร์จิ้นดี ช่วยลดแรงกดดันต่ออัตรากำไรขั้นต้น

อย่างไรก็ดีทางฝ่ายวิจัยคงราคาเหมาะสมปี 2565 ที่ 37 บาท (อิงค่า PER ที่ 37 เท่า) คงคำแนะนำซื้อลงทุน โดยมองว่าผ่านจุดต่ำสุดแล้วในไตรมาส 3/2564 โดยภาพความต้องการใช้สีที่มีสัญญาณฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 4/2564 และต่อเนื่องในปี 2565 ซึ่งประเมินว่ากำไรจะกลับมาเติบโตได้อีกครั้งหลังหดตัวติดต่อกัน 2 ปีก่อนหน้า โดยแนวโน้มไตรมาส 1/2565 ผลประกอบการคาดขยายตัวจากไตรมาสก่อน เนื่องจากเป็น High Season ขายวัสดุก่อสร้าง ขณะที่ตั้งแต่ไตรมาส 2/2565 ระดับกำจะยกฐานขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน หลังรวมงบ GMT เป็นบวกทั้งยอดขายและมาร์จิ้น อย่างไรก็ตามระยะสั้นติดตามความผันผวนราคาน้ำมันดิบจากสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างรัสเซียยูเครน ซึ่งหากราคาน้ำมันปรับขึ้นแรงอาจเป็นประเด็นกดดันราคาหุ้น เนื่องจากต้นทุนที่เป็น Oil linked คิดเป็นสัดส่วนราว 15% ของต้นทุนการผลิต

Back to top button