กลุ่ม “เจมาร์ท” ฟาดกำไรปี 64 กว่า 4.7 พันลบ. “ออลไทม์ไฮ” ยกทีม!
กลุ่ม "เจมาร์ท" สุดแกร่ง! ฟาดกำไรปี 64 รวมกว่า 4.7 พันลบ. เพิ่มขึ้นเท่าตัว ทุบสถิติ “ออลไทม์ไฮ” ยกทีม! โบรกฯ แนะนำ "ซื้อ" เคาะเป้าสูง อัพไซด์เพียบ จับตากำไรปี 65 แรงต่อ
ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (บจ.) ทยอยรายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 4/2564 และงวดปี 2564 ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดบริษัทในกลุ่มเจมาร์ท ประกอบด้วย JMART, SINGER, JMT และ J ได้รายงานผลการดำเนินงานออกครบถ้วนแล้ว ซึ่งสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างโดดเด่นในทุกบริษัท
โดย บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART มีผลกำไรสุทธิในปี 2564 เท่ากับ 2,467.6 ล้านบาท โดยคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิเท่ากับร้อยละ 209.3 และคิดเป็นอัตรากำไรต่อหุ้นเท่ากับ 2.392 ซึ่งกำไรดังกล่าวถือเป็นกำไรที่สูงที่สุดเป็นประวัติศาสตร์ในการดำเนินงานของบริษัทเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน
ด้านบล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (25 ก.พ.2565) คาดกำไรของบริษัทหลักที่อยู่ภายใต้ JMART จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งในปี 2565 โดย JMT ยังคงเป็นผู้นำตลาดในธุรกิจ AMC ส่วน SINGER เป็นผู้นำตลาดในด้านการปล่อยกู้สินเชื่อผู้บริโภค และคาดว่า J-Mobile จะเป็นบริษัทแห่งใหม่ที่โดดเด่นในปี 2565 ซึ่งจะทำให้การเติบโตของกำไร JMART แข็งแกร่งต่อเนื่อง จึงยังคงแนะนำ “ซื้อ” หุ้น JMART ประเมินราคาเป้าหมายปี 2565 ที่ 65 บาท/หุ้น
ส่วนบริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT มีผลกำไรสุทธิในปี 2564 เท่ากับ 1,400.4 ล้านบาทเติบโตจากปี 2563 ร้อยละ 34 ซึ่งเป็นสถิติกำไรสุทธิสูงที่สุดของบริษัทฯ ตั้งแต่ก่อตั้งบริษัทฯ เป็นปีที่ 6 ต่อเนื่อง เนื่องจากรายได้รวมของบริษัทฯ ในปี 2564 เท่ากับ 3,625.0 ล้านบาท เพิ่มขึ้นคิดเป็นร้อยละ 13.6
ด้านบล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ (25 ก.พ.2565) คงประมาณการคาดกำไรสุทธิปี 2565 ของ JMT จะเพิ่มขึ้นถึง 45.7% เมื่อเทียบจากปีก่อนทำ New high ต่อเนื่องจากรายได้ธุรกิจบริหารหนี้เติบโต สอดคล้องกับพอร์ตลูกหนี้ และการตัดมูลค่าเงินลงทุนในลูกหนี้ด้อยคุณภาพที่หมดลงต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังได้ผลบวกจากแนวโน้มค่าใช้จ่ายทางการเงินลดลง จากการนำเงินจากการเพิ่มทุนไปชำระหนี้ 2.4 พันล้านบาท ตั้งแต่ปลาย ธ.ค.2564
ทั้งนี้ในเบื้องต้น คาดกำไรสุทธิงวดไตรมาส 1/2565 จะอ่อนตัวลงจากงวดไตรมาส 4/2564 แต่เติบโตเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/2564 จากแนวโน้มการจัดเก็บเงินสด (Cash collections) ได้ลดลงตามฤดูกาล กดดันแนวโน้มรายได้ธุรกิจบริหารหนี้และติดตามหนี้ลดลงชั่วคราว ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าแนวโน้มค่าใช้จ่ายทางการเงินลดลงราว 25 ล้านบาทจากงวดไตรมาส 4/2564 หลังนำเงินไปชำระหนี้ 2.4 พันล้านบาทตั้งแต่ปลาย ธ.ค.2564 ยังแนะนำเป็น “ซื้อ” ลงทุนระยะกลางถึงยาว ประเมินราคาเป้าหมายที่ 80 บาท/หุ้น
ด้านบริษัท ซิงเกอร์ประเทศไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SINGER มีผลกำไรสุทธิในปี 2564 เท่ากับ 701 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 258 ล้านบาท หรือร้อยละ 58.2 จากก าไรสุทธิ443 ล้านบาทของงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลกำไรทำสถิติสูงสุดใหม่ของบริษัทฯ เป็นผลมาจากรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น ทั้งในกลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้า และสินค้าเชิงพาณิชย์ (Hire purchase) รวมทั้งพอร์ตสินเชื่อรถทำเงิน (C4C) ยังคงรักษาการเติบโตที่โดดเด่น
ด้าน บล.เคทีบีเอสที ระบุในบทวิเคราะห์ (24 ก.พ.2565) แนะนำ “ซื้อ” หุ้น SINGER แต่ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 60 บาท อิง PER ปี 2565 ที่ 39 เท่า จากเดิม 58 บาท โดยเป็นผลของการปรับกำไรสุทธิขึ้น และ de-rate PER ลงเล็กน้อย บริษัทรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 4/2564 ที่ 213 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 71% เมื่อเทียบจากปีก่อน และ 29% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน สูงกว่าตลาดคาด 13%
ทั้งนี้ได้ปรับกำไรสุทธิปี 2565 ขึ้น 7% เป็น 1.2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 75% เมื่อเทียบจากปีก่อน จากการปรับเพิ่มสินเชื่อเช่าซื้อ, เพิ่ม GPM และลด LLR/Loan ให้ใกล้เคียงกับที่เกิดขึ้นในปี 2564 ทำให้ credit cost ลด 67 bps ประเมินว่าผลการดำเนินงานที่จะขยายตัวต่อเนื่องที่ 2565-2567 (CAGR) เติบโตเฉลี่ย 31% จากสินเชื่อที่ขยายตัวสูง และได้รับ synergy กับกลุ่ม BTS
ขณะที่บริษัท เจเอเอส แอสเซ็ท จำกัด (มหาชน) หรือ J มีผลกำไรสุทธิในปี 2564 เท่ากับ 161.4 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลกำไรสูงสุดตั้งแต่จัดตั้งบริษัทฯ ทั้งนี้มีปัจจัยมาจากการเปิดตัวโครงการใหม่ ปรับลดต้นทุนการดำเนินงานที่ลดลง และต้นทุนค่าใช้จ่ายที่ลดลง