SNNP มั่นใจกำไรปี 65 โตต่อ เดินหน้าเจรจาพาร์ทเนอร์ ผุดโรงงานอินโดฯ
SNNP มั่นใจกำไรปี 65 โตต่อ หลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย หนุนกำลังซื้อผู้บริโภค-ออกสินค้าใหม่ต่อเนื่อง เดินหน้าสร้างโรงงานเวียดนาม คาดเริ่มผลิต-ขายภายในมิ.ย.-ก.ค.65 เผยอยู่ระหว่างเจรจาพาร์ทเนอร์สร้างโรงงานอินโดนีเซีย
นายชยุตม์ หลีหเจริญกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายการบัญชีและการเงิน บริษัท ศรีนานาพร มาร์เก็ตติ้ง จำกัด (มหาชน)หรือ SNNP ได้เปิดเผยถึงทิศทางธุรกิจของบริษัท ผ่านงาน Opportunity Day ซึ่งจัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 28 ก.พ. 2565 ว่า ในปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้จากการขาย 4,358 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนรายได้จากกลุ่มเครื่องดื่ม 44% กลุ่มขนมขบเคี้ยว 56% แบ่งเป็นรายได้ภายในประเทศ 79% รายได้ส่งออกต่างประเทศเป็น 21% และมีกำไรสุทธิ 437.2 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 366% เทียบงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 93.8 ล้านบาท สร้างสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์
ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทมีโรงงานผลิตในประเทศไทย 4 โรงงาน และอยู่ระหว่างก่อสร้างโรงงานในประเทศเวียดนาม 1 โรงงานคาดก่อสร้างแล้วเสร็จภายในไตรมาส 2/2565 และคาดว่าจะเริ่มผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าได้ภายในเดือนมิ.ย.-ก.ค.2565
พร้อมกันนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ได้มีมติอนุมัติจัดตั้งบริษัทย่อย เพื่อประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายสินค้าภายใต้แบรนด์ของบริษัทในประเทศอินโดนีเซีย ทุนจดทะเบียนไม่เกิน 2,000,000 ดอลลาร์ ซึ่ง บริษัท เอสเอ็นเอ็นพี อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (บริษัทย่อยของบริษัท 99.99%) จะเข้าถือหุ้นในสัดส่วน 85% พาร์ทเนอร์อินโดนีเซีย ถือหุ้นจำนวน 15% ของจำนวนหุ้นทั้งหมด เพื่อจัดตั้งโรงงานผลิตเจลลี่ ซึ่งได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในตลาดประเทศอินโดนีเซีย ทั้งนี้ปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจากับผู้ร่วมทุน โดยคาดว่าจะจดทะเบียนได้ภายในเดือนกันยายน 2565 และคาดว่าจะสามารถติดตั้งเครื่องจักรแล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2565 หรือต้นไตรมาส 1/2566 ซึ่งจะส่งผลให้บริษัทฯ มีโรงงานผลิตรวม 7 แห่ง ประกอบด้วย ในประเทศไทย 4 แห่ง กัมพูชา 1 แห่ง เวียดนาม 1 แห่ง และอินโดนีเซีย 1 แห่ง
อย่างไรด็ตามเชื่อมั่นในว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 2565 จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องจากปี 2564 หลังรัฐบาลผ่อนคลายมาตรการป้องกันโควิด-19 และการเปิดเมือง ส่งผลกำลังซื้อของผู้บริโภคฟื้นตัวมากขึ้น รวมทั้งการออกผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้คาดว่ายอดขายในประเทศจะเติบโตเกินเป้าหมายที่วางไว้ ส่วนยอดขายในประเทศคาดว่าจะเติบโตราว 30%