CENTEL มองผลงาน Q1 สดใส หนุนรายได้ “ธุรกิจโรงแรม” ปีนี้แตะ 5.9 พันลบ.
CENTEL ตั้งเป้าปีนี้ RevPar แตะ 1.9 พันลบ. ส่วน OCC เพิ่มเป็น 50% พร้อมคาดหวังว่าทั้งปีสามารถดันรายได้จากธุรกิจโรงแรมแตะระดับ 5.9 พันลบ.
นายกันย์ ศรีสมพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่การเงิน บริษัท โรงแรม เซ็นทรัลพลาซา จำกัด (มหาชน) หรือ CENTEL กล่าวว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ต่อห้องพัก (RevPar) ปี 65 ที่ 1,700-1,900 บาท เพิ่มขึ้นจาก 849 บาทในปี 64 และอัตราการเข้าพัก (OCC) เพิ่มขึ้นเป็น 40-50% จากปี 64 อยู่ที่ 19% โดยคาดหวังจะมีรายได้จากธุรกิจโรงแรมในปีนี้ราว 5,900 ล้านบาท (รวมรายได้จากธุรกิจโรงแรมในดูไบ ที่บริษัทฯ ถือหุ้นอยู่ 41%) สอดคล้องกับอุตสาหกรรมธุรกิจโรงแรมที่หลายแห่งที่ตั้งเป้าหมายจะเติบโตประมาณ 50% เมื่อกลับไปเทียบกับปี 62 ก่อนเกิดวิกฤติโควิด
ขณะที่ธุรกิจอาหาร บริษัทคาดหวังยอดขายต่อสาขาเดิม (SSS) เติบโต 10-15% จากปีก่อน และยอดขายรวมทุกสาขา (TSS) เพิ่มขึ้น 10-25% จากปีก่อน โดยจะมาจากการขยายสาขาเพิ่มประมาณ 180-200 สาขา ส่งผลทำให้คาดว่ายอดขายโดยรวมปีนี้จะกลับไปใกล้เคียงกับปี 62 มาจากการเติบโตจากภายใน (Organic Growth), การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ และผลประกอบการของแบรนด์ใหม่ๆ ที่ทยอยเข้ามาในพอร์ต
สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/65 คาดว่าจะเติบโตดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังจากเดือน ม.ค.65 ได้ดีกว่าคาด ทั้งธุรกิจโรงแรมและธุรกิจอาหาร โดยธุรกิจโรงแรม มี OCC อยู่ที่ 30% โดยหลักมาจากโรงแรมในมัลดีฟส์ที่มีอัตราเข้าพักสูงต่อเนื่อง 85% และดูไบทำได้ดีถึง 60% เมื่อเทียบกับไตรมาส 4/64 ที่ทำได้ 58% และมีรายได้ดีกว่าคาด 9% มาจากโรงแรมในมัลดีฟส์ราว 37%, ดูไบ 21%, กรุงเทพฯ 13% และรองลงมาเป็นพัทยา
ส่วนธุรกิจอาหาร ยอดขายในเดือน ม.ค.65 ทำได้ใกล้เคียงกับเดือน ธ.ค.64 ที่ทำได้ราว 900 ล้านบาท และยังทำได้ดีกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนด้วย เนื่อวจากปีก่อนมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอก 2
นายกันย์ กล่าวว่า บริษัทวางงบลงทุนรวมปีนี้ไว้ที่ 3,300 ล้านบาท แบ่งเป็นของธุรกิจโรงแรม 2,000 ล้านบาท เพื่อรองรับการสร้างโรงแรมในมัลดีฟส์ 2 แห่ง และการสร้าง Centara Grand Hotel Osaka คาดใช้งบราว 1,000 ล้านบาท ที่เหลือจะใช้ในการปรับปรุงและปรับภาพลักษณ์โรงแรม เช่น Centara Grand Beach Resort & Villas Krabi, Centara Karon Resort Phuket เป็นต้น
โดย ณ วันที่ 31 ธ.ค.64 บริษัทมีโรงแรมภายใต้การบริหารงานทั้งสิ้น 85 โรงแรม จำนวน 17,448 ห้อง แบ่งเป็นโรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้วทั้งสิ้น 46 โรงแรม จำนวน 9,410 ห้อง และเป็นโรงแรมที่กำลังพัฒนา 39 โรงแรม จำนวน 8,038 ห้อง ในส่วน 46 โรงแรมที่เปิดดำเนินการแล้วทั้งเป็นโรงแรมที่บริษัทเป็นเจ้าของเอง 19 โรงแรม และโรงแรมที่อยู่ภายใต้สัญญาบริหาร 27 โรงแรม
ส่วนอีก 1,300 ล้านบาท จะใช้ในธุรกิจอาหาร รองรับการเติบโตทั้ง Organic และ In Organic ในลักษณะของการเข้าซื้อกิจการ (M&A) และการร่วมลงทุน (JV) โดยคาดหวังว่าจะมีแบรนด์ใหม่ๆ เข้ามาเพิ่มเติมในปีนี้ ซึ่งปัจจุบันก็อยู่ระหว่างการเจรจา คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในไตรมาส 2/65 หากไม่มีอะไรติดขัด