เปิดโผ 7 หุ้นขนส่ง-โลจิสติกส์ตัวท็อป! โกยกำไรปี 64 โตสนั่นเกิน 100%
เปิดโผ 7 หุ้นขนส่ง-โลจิสติกส์ตัวท็อป! โกยกำไรปี 64 โตทะลักเกิน 100% RCL-WICE-III นำทีม พ่วง PSL-TTA-B ผลงาน “เทิร์นอะราวด์”
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ทำการรวบรวมข้อมูลหลักทรัพย์กลุ่มอุตสาหกรรมบริการ หมวดธุรกิจขนส่งและโลจิสติกส์ ประกาศงบการเงินปี 2564 มานำเสนอ โดยครั้งนี้คัดเลือกหุ้นมีกำไรโตทะลักเกิน 100% แลหุ้นที่พลิกมีกำไร (เทิร์นอะราวด์) โดดเด่น ซึ่งคัดเลือกมาทั้งหมด 7 ตัว ได้แก่ RCL,WICE, III,JWD, PSL,TTA และ B โดยจะเสนอข้อมูลประกอบเพียง 5 อันดับ ดังตารางประกอบดังนี้
โดยอันดับ 1 บริษัท อาร์ ซี แอล จำกัด (มหาชน) หรือ RCL รายงานผลการดำเนินงานงวดปี 2564 มีกำไรสุทธิ 17,972.75 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 930.08% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 1,744.79 ล้านบาท
โดยปี 2564 อัตราค่าระวางเรือที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้บริษัทฯ มีผลกำไรสุทธิที่ทำสถิติสูงสุดใหม่คือ 17,976 ล้านบาท หรือโตขึ้นร้อยละ 930 จากปี 2563 ซึ่งมีกำไรเฉลี่ยต่อหุ้น 21.60 บาทต่อหุ้น อัตราการเติบโตของรายได้อยู่ที่ร้อยละ 123 ในขณะที่ปริมาณการขนส่งสินค้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 8
โดยบล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ (28 ก.พ.2565) ว่า ผลประกอบการไตรมาส 4/2564 ของ RCL ที่มากกว่าตลาดคาดและการประกาศจ่ายเงินปันผลครั้งใหญ่เป็นหลักฐานที่ชัดเจนว่าตลาดนั้นคิดผิดเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเดินเรือ (ตลาดคิดว่าจุดต่ำสุดได้ผ่านไปแล้ว แต่บล.บัวหลวงคาดว่าปี 2565 จะแข็งแกร่งขึ้นเมื่อเทียบจากปี 2564) หาก RCL ยังคงจ่ายเงินปันผลที่ 3 บาทต่อไตรมาสตลอดปี 2565 (รวม 12 บาทต่อหุ้นในปี 2565) จะคิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสำหรับปีนี้สูงถึง 25% (ประมาณการเชิงอนุรักษ์นิยมที่ 8 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ 17%)
อย่างไรก็ตามแม้หลังจากปัญหาคอขวดของท่าเรือคลี่คลายลงแล้ว ความร่วมมือด้านราคาระหว่างบริษัทขนส่งเรือตู้คอนเทนเนอร์ยังเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ (ผู้ให้บริการตู้เรือคอนเทนเนอร์รายใหญ่ที่สุด 10 อันดับแรกครองส่วนแบ่งการตลาดมากกว่า 80% ดังนั้นอุตสาหกรรมนี้จึงมีลักษณะเป็นตลาดที่มีผู้เล่นน้อยราย) ค่าระวางที่อยู่ในระดับสูงจึงมีแนวโน้มจะปรับตัวลดลงอย่างช้าๆ ในช่วงปี 2566-67 (ไม่ปรับตัวลดลงเร็ว) ยังคงคำแนะนำ ซื้อเก็งกำไร
นอกจากนั้นคาดว่ากำไรหลักไตรมาส 1/2565 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบจากปีก่อน (อัตราค่าระวางเรือที่ปรับตัวสูงขึ้น) แต่ลดลงเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน (จำนวนวันทำการที่ลดลงตามฤดูกาล) ทั้งนี้ได้สะท้อนผลประกอบการปี 2564 เช้าสู่ประมาณการ ส่งผลให้ปรับเพิ่มประมาณการกำไรหลักปี 2565 ขึ้น 2% มาอยู่ที่ 18,405 ล้านบาท (เติบโต 8% เมื่อเทียบจากปีก่อน) และปรับราคาเป้าหมายใหม่เป็น 66 บาท จากเดิม 65 บาท
อันดับ2 บริษัท ไวส์ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ WICE รายงานผลการดำเนินงานงวดปี 2564 มีกำไรสุทธิ 535.53 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 166.32 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 201.08 ล้านบาท
โดยผลการดำเนินงานงวดปี 2564 มีกำไรเพิ่มขึ้น เกิดจากรายได้จากการบริการ 7,636.60 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 91.13% จากปี 2563 ที่มีรายได้จากการบริการ 3,995.53 ล้านบาท โดยรายได้จากการขนส่งสินค้าทางทะเลมีปริมาณการขนส่งที่เพิ่มขึ้น จากการที่บริษัทฯ ตั้งเป้าในการเจาะตลาดลูกค้าในกลุ่มอุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์และชิ้นส่วนยานยนต์ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมที่มีการเติบโตเป็นอย่างมาก จะเห็นว่า การขนส่งทางเรือ มี Demand สูงขึ้นทำให้บริษัทมีปริมาณการขนส่งที่เพิ่มขึ้นและราคาค่าระวางยังคงปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้รายได้เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด
ประกอบกับบริษัทมีการวางแผนกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับสถานการณ์ จึงทำให้บริษัทมีการเติบโตใน Segment Sea Freight ค่อนข้างสูงมากในปีนี้ อีกทั้งรายได้จากการขนส่งสินค้าทางบกข้ามแดน มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งจากความนิยมในบริการ Segment นี้ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้บริษัทต้องมีการขยาย Capacity โดยการลงทุนเพิ่มตู้คอนเทนเนอร์ นอกจากนั้นบริษัทยังเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นใน ETL เพิ่มขึ้นเป็น 51% จากเดิมที่ 40%
นอกจากนี้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 23 ก.พ.2565 มีมติอนุมัติจ่ายปันผลจากงวดดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค. 2564 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2564 เป็นเงินสดในอัตรา 0.23 บาท/หุ้น กำหนดวันขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 9 มี.ค.2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 13 พ.ค.2565
บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (1 มี.ค. 2565) ว่า คาดแนวโน้มกำไรปี 2565 ยังคงเดินหน้าทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง สอดคล้องกับภาพการส่งออกของไทยที่เติบโตได้แข็งแกร่ง จากเส้นทางขนส่งหลักทั้งสหรัฐฯ จีน เติบโตดี ผสานการเตรียม spin-off บ.ลูก ที่ทำธุรกิจ Cross boarder เข้าตลาดฯ ปลดล็อคมูลค่าในปีนี้ ราคาเป้าหมาย 22.10 บาท
อันดับ 3 บริษัท ทริพเพิล ไอ โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ III รายงานผลการดำเนินงานงวดปี 2564 มีกำไรสุทธิ 377.34 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 132.22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 162.49 ล้านบาท
โดยผลการดำเนินงานงวดปี 2564 มีกำไรเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ เนื่องจากบริษัทมีรายได้ 2,939.2 ล้านบาท เพิม่ขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 82.9 โดยปรับเพิ่มขึ้นในกล่มธุรกิจหลักของบริษัท โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจขนส่งทางอากาศที่มีรายได้ปี 2564 กว่า 1,639.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2563 กว่าร้อยละ 79.76
นอกจากนั้นที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เมื่อวันที่ 22 ก.พ.2565 มีมติอนุมัติจ่ายปันผลงวดดำเนินงานวันที่ 1 ม.ค. 2564 ถึงวันที่ 31 ธ.ค. 2564 เป็นเงินสดในอัตรา 0.30 บาท กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 26 เม.ย.2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 17 พ.ค.2565
สำหรับในปี 2565 ทาง III ยังมองถึงโอกาสด้านธุรกิจการให้บริการโลจิสติกส์ สำหรับลูกค้ากลุ่มอี-คอมเมิร์ซ โซเชียลคอมเมิร์ซ และ Domestic Delivery ที่มีการขยายตัว โดยที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้ร่วมมือกับ บริษัท สบาย เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ SABUY พัฒนาธุรกิจให้ ShipSmile และจับมือกับพันธมิตรผู้ให้บริการ Delivery ทุกค่าย และยังมีการเพิ่มบริการอื่นๆ เป็นให้เป็นศูนย์รวมระบบแฟรนไชส์ ทั้งจุดรับส่งพัสดุ และบริการรูปแบบเคาน์เตอร์เซอร์วิสอื่นๆ ปัจจุบันมีจำนวนสาขาประมาณ 5,000 สาขา และตั้งเป้าหมายครบ 9,000 สาขาในปีนี้
อันดับ 4 บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD รายงานผลการดำเนินงานงวดปี 2564 มีกำไรสุทธิ 377.34 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 97.15 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อน 289.97ล้านบาท
สำหรับปี 2564 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิส่วนที่มาจากรายการพิเศษ จำนวน 41.30 ล้านบาท เป็นผลมาจากบันทึกกำไรจากการปรับมูลค่ายุติธรรมของเงินลงทุนในบริษัท EMLOG Logistics & Warehousing Pte Ltd. (EMLOG) ซึ่งเปลี่ยนสถานะจากบริษัทร่วมเป็นบริษัทย่อย จำนวน 78.6 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทฯ มีการบันทึกกำไรจากการขายสินทรัพย์สุทธิ จำนวน 9 ล้านบาท มาจากการขายสินทรัพย์โครงการเจ ดับเบิ้ลยูดี นวนคร ให้แก่กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์เอไอเอ็ม อินดัสเทรียล โกรท (AIMIRT) ในเดือน เมษายน 2564
โดยในปี 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม จำนวน 5,293.30 ล้านบาท รายได้รวมเพิ่มขึ้น จำนวน 1,370.90 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราร้อยละ 35 เมื่อเทียบกับรายได้รวมในงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งบริษัทฯ มีรายได้ค่าเช่าและรายได้จากการบริการรวมทั้งสิ้น 5,100.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น จำนวน 1,243.30 ล้านบาท หรือเป็นอัตราร้อยละ 32.20 ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรขั้นต้น จำนวน 1,219.90 ล้านบาท และอัตรากำไรขั้นต้นร้อยละ 23.90 เพิ่มขึ้น จำนวน 260.10 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราร้อยละ 27.10 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ดีบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ จำนวน 571.70 ล้านบาท อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ร้อยละ 10.80 เพิ่มขึ้นจำนวน 281.70 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราร้อยละ 97.10 เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน
บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (28 ก.พ. 2565) ทางฝ่ายวิจัยคงประมาณการกำไรปกติปี 2565 ที่ 599.30 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31.80% จากงวดเดียวกันของปีก่อน การเติบโตมาจากทั้ง Organic และ Inorganic จากการเก็บเกี่ยวประโยชน์เต็มปีจากดีลต่างๆที่เข้าไปลงทุนในปีที่ผ่านมา และคาดกำไรปี 2566 ที่ 691.10 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.30% จากงวดเดียวกันของปีก่อน คงราคาเป้าหมาย 23 บาท ยังคงแนะนำ “ซื้อ”
อันดับ 5 บริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSL รายงานผลการดำเนินงานงวดปี 2564 พลิกมีกำไรสุทธิ 4,474.93 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 1,294.86 ล้านบาท
โดยผลการดำเนินงานพลิกมีกำไรโดดเด่นเนื่องจากปี 2564 รายได้จากการเดินเรือรวมอยู่ที่ 8,611.75 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันปี 2563 อยู่ที่ 3,726.29 พันล้านบาท นอกจากนี้รายได้เงินปันผลปี 2564 อยู่ที่ 509.28 ล้านบาท และปี 2564 กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ 194.37 ล้านบาท
นอกจากนี้บริษัทฯ ประกาศจ่ายปันผลจากกำไรสะสมเป็นเงินสดในอัตราหุ้นละ 0.50 บาท กำหนดขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 28 ก.พ.2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 11 มี.ค.2565
บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (17 ก.พ.2565) มีมุมมองบวกต่อการประชุมนักวิเคราะห์ และผลการดำเนินงานของ PSL ที่แข็งแกร่งกว่าคาด 19.4% ในปี 2564 ซึ่งผลักดันมาจากการจัดการภายในที่ดี ทำให้ได้รับประโยชน์เต็มที่จากค่าระวางเรือเทกองเชิงบวกในปีก่อน และคาดว่าค่าระวางเรือเทกองมีแนวโน้มจะยังสูงต่อเนื่องในปีนี้จากภาวะอุปสงค์ขยายตัวมากกว่าอุปทาน โดยได้ปรับประมาณการกำไรปี 2565-2566 ขึ้น 40-45% และปรับปรุงราคาเหมาะสมขึ้น 10% เป็น 20.50 บาท/ หุ้น อิง P/BV เฉลี่ยกลุ่มที่ 1.8 เท่า ตามเดิม
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน