“ดาวโจนส์” ปิดลบ 180 จุด นลท.วิตกสงครามยูเครน-รัสเซีย
“ดาวโจนส์” ปิดลบ 180 จุด นักลงทุนยังคงวิตกเกี่ยวกับการทำสงครามในยูเครน แม้มีการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐที่พุ่งขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบในวันศุกร์ (4 มี.ค.2565) เนื่องจากนักลงทุนยังคงวิตกเกี่ยวกับการทำสงครามในยูเครน แม้มีการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานของสหรัฐที่พุ่งขึ้นเกินคาดซึ่งบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งก็ตาม
โดยดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 33,614.80 จุด ลดลง 179.86 จุด หรือ -0.53%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,328.87 จุด ลดลง 34.62 จุด หรือ -0.79% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 13,313.44 จุด ลดลง 224.50 จุด หรือ -1.66%
สำหรับในรอบสัปดาห์นี้ ดัชนีดาวโจนส์และดัชนี S&P500 ลดลง 1.3% ขณะที่ดัชนี Nasdaq ลดลง 2.8%
อีกทั้งหุ้นทั้ง 11 กลุ่มในดัชนี S&P500 ปรับตัวลง โดยกลุ่มการเงินร่วงลง 2% เนื่องจากนักลงทุนวิตกว่าการคว่ำบาตรรัสเซียอาจส่งผลกระทบต่อระบบการเงินระหว่างประเทศ
ส่วนหุ้นกลุ่มธนาคารร่วงลง 3.35% ในวันศุกร์ และร่วงลงเกือบ 9% ในรอบสัปดาห์นี้ ซึ่งเป็นการลดลงรายสัปดาห์มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมิ.ย. 2563
ทั้งนี้ตลาดหุ้นทั่วโลกปรับตัวลง ขณะที่นักลงทุนพากันเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย หลังกองกำลังรัสเซียยึดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ใหญ่ที่สุดของยุโรปในประเทศยูเครน ซึ่งสหรัฐระบุว่าเป็นการโจมตีที่ประมาทซึ่งอาจก่อให้เกิดภัยพิบัติตามมา
ด้านตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับตัวลง แม้กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยในวันศุกร์ว่า ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรพุ่งขึ้น 678,000 ตำแหน่งในเดือนก.พ. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 440,000 ตำแหน่ง และอัตราการว่างงานปรับตัวลงสู่ระดับ 3.8% ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือยก.พ. 2563 ซึ่งต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 3.9%
ขณะเดียวกันซาชารี ฮิลล์ หัวหน้าฝ่ายจัดการพอร์ตลงทุนของฮอริสัน อินเวสเมนต์ระบุว่า “แนวโน้มการขยายตัวของสงคราม, ผลกระทบทางเศรษฐกิจในยุโรปและในวงที่กว้างมากขึ้น รวมทั้งผลกระทบต่อสินค้าโภคภัณฑ์และเงินเฟ้อนั้น ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ส่วนหุ้นแอมะซอน.คอม, หุ้นแอปเปิล, หุ้นอัลฟาเบทซึ่งเป็นบริษัทแม่ของกูเกิล และหุ้นไมโครซอฟท์ คอร์ป ร่วงลงมากกว่า 1%
อย่างไรก็ตามวิกฤตในยูเครนหนุนหุ้นกลุ่มพลังงาน เนื่องจากราคาน้ำมันดิบและสินค้าโภคภัณฑ์อื่น ๆ ทะยานขึ้น หลังการคว่ำบาตรรัสเซียซึ่งเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ โดยดัชนี S&P หุ้นกลุ่มพลังงาน พุ่งขึ้น 2.85% และบวกขึ้นราว 9% ในรอบสัปดาห์นี้
อนึ่งราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่พุ่งขึ้นทำให้เกิดความวิตกเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ ซึ่งอาจกระตุ้นให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรุนแรง โดยนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ว่า เขาจะสนับสนุนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมนโยบายของเฟดวันที่ 15-16 มี.ค.นี้ และพร้อมที่จะดำเนินการในเชิงรุกมากขึ้นในระยะต่อไป หากอัตราเงินเฟ้อไม่ลดลงเร็วตามคาด
สำหรับหุ้นรายตัวที่ร่วงลงอย่างหนักในวันศุกร์ได้แก่ หุ้นดับเบิลยูดับเบิลยู อินเตอร์เนชันแนล (WW International) ซึ่งร่วงลงกว่า 8% หลังคณะกรรมการการค้าของรัฐบาลกลางสหรัฐระบุว่า บริษัทกระทำการที่ผิดกฎหมาย เนื่องจากทำการเก็บข้อมูลส่วนตัวของเด็ก ๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้ปกครอง