“บล.บัวหลวง” แนะนำหุ้น A5 เป้าสูงสุด 13.50 บ. ชูจุดเด่น “อัตรากำไรขั้นต้นพุ่ง-D/E ต่ำ”
“บล.บัวหลวง” แนะนำหุ้น A5 ให้เป้าหมายสูงสุด 13.50 บาท ชูจุดเด่นอัตรากำไรขั้นต้นสูง และ D/E ต่ำเพียง 0.4 เท่า ด้านผลประกอบการปี 64 มีกำไรสุทธิ 130.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น128.35% หลังรับรู้กำไรจากการขายที่ดินโครงการหยุดพัฒนามูลค่า 105.25 ล้านบาท พร้อมจ่ายเงินปันผลหุ้นละ 0.01 บาท ขึ้น XD วันที่ 3 พ.ค. 65 กำหนดรับเงิน 27 พ.ค.65
บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง ออกบทวิเคราะห์แนะนำเกี่ยวกับหุ้น บริษัท แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ A5 โดยระบุว่า บริษัทฯมีความโดดเด่นในด้านนวัตกรรมแห่งการดีไซน์ ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้า “Niche market” ที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยอันปราณีตและยังไม่มีเจ้าตลาดอสังหาริมทรัพย์รายใดโดดลงมาเล่นใน Segment นี้ ทำให้ฝ่ายวิเคราะห์มองว่าโครงการที่จะเปิดขายใน 1-2 ปีนี้ จะสร้างยอดขายและมีอัตราการจองซื้อที่สูงเหมือนโครงการในอดีตที่ประสบความสำเร็จ เช่น โครงการแนวราบ VANA Resident พระราม 9 หรือแม้แต่คอนโดในกลาง “หลังสวน” อย่างโครงการต้นสน วัน เรสซิเดนซ์
โดยจุดแข็งในการขายคือความสวยงามที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้ในอนาคตคือนิยามโดยรวมที่ฝ่ายวิเคราะห์มองเห็นในแต่ละโครงการของ A5 ที่สร้างปรากฏการณ์ขายได้เฉลี่ย 80-90% ภายใน 2-3 ปีที่เปิดโครงการสำหรับ 6 โครงการแนวราบที่เปิดมาแล้ว เช่น วนา เรสซิเดนซ์ และ 70% ภายในปีแรก (และปัจจุบันจองมากกว่า 90% แล้ว) สำหรับคอนโด Super Luxury ต้นสน วัน เรสซิเดนซ์ (ที่ดินผืนสุดท้ายซอยต้นสน)
สำหรับจุดเด่นเรื่องทำเลศักยภาพและรูปแบบโครงการที่ตอบโจทย์ตลาดที่ปรับได้ตรงความต้องการลูกค้า Niche Market (ตลาดกลุ่มนี้มีมูลค่าราว 2 แสนล้านบาท อิงจากมูลค่าตลาดบ้านสร้างเอง) บริษัทยังมีโครงการบ้านเดี่ยว-บ้านแฝด แบรนด์รชยา ที่ จ.อุดรธานี ซึ่งชื่อเสียงติดตลาด พร้อมที่ดินอีกกว่า 100 ไร่ เตรียมพัฒนาเพิ่มได้ปีละ 500-1,000 ล้านบาท รวมทั้งความพร้อมขยายไปจังหวัดอื่นๆ เช่น มหาสารคาม, อุบลราชธานี
อย่างไรก็ดี โครงการในมือเป็นฐานการเติบโตไปอีก 2-3 ปี เพราะปัจจุบัน A5 มีมูลค่ายอดขายรอโอน (Backlog) จำนวน 3.2 พันล้านบาท (ส่วนใหญ่เป็นโครงการต้นสน วัน เรสซิเดนซ์) และสินค้าพร้อมขาย (Inventory) อีกกว่า 1 พันล้านบาท สามารถรองรับการเติบโตของรายได้ไปได้อีกอย่างน้อย 2-3 ปี นอกจากนี้ในปี 2565 บริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่ 3 โครงการ มูลค่ารวม 3.2 ล้านบาท โดยจะเป็นคฤหาสน์หรูหลังใหญ่มูลค่าโครงการราว 2.7 พันล้านบาท ที่กรุงเทพฯ (มีที่ดินรองรับแล้ว)
โดยเพื่อสร้างความสม่ำเสมอของยอดขาย-รายได้ หลังจากปิดโครงการวนา เรสซิเดนซ์ ได้ภายในปีนี้ ซึ่งน่าจะตอบโจทย์ความต้องการของตลาดและขายหมดใน 2-3 ปี เช่นในอดีต และอีก 2 โครงการบ้าน รชยา เฟสใหม่ ที่จ.อุดรธานี มูลค่ารวม 500 ล้านบาท ช่วงกลางปี 2565 เป็นแบบบ้านที่รับการออกแบบให้สอดคล้องกับการใช้งานตามยุคสมัย
นอกจากนี้ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ยังเห็น Upside ต่ออัตรากำไร เนื่องจากอัตรากำไรขั้นต้น (GP) ของบริษัทที่ 25.4% ในปี 2564 ยังมีโอกาสให้พัฒนาเพิ่มให้ใกล้เคียงค่าเฉลี่ยกลุ่มอสังหาฯ ที่ 32.1% ภายหลังได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เช่นต้นทุนทางการเงินที่มีแนวโน้มลดลง
อย่างไรก็ตามกรอบราคาทางกลยุทธ์ ประเมินเบื้องต้นอิงเป้าหมายบริษัทฯ และเทียบเคียง PEG กลุ่มอสังหาฯ โดยผู้บริหารตั้งเป้าหมายรายได้แตะระดับ 1 พันล้านบาท ในปี 2565 และเติบโตระดับ 20-30% ต่อปีใน 2-3 ปีข้างหน้า ผ่านการเปิดตัวโครงการใหม่ 1-3 พันล้านบาท/ปี (สถานการเงินพร้อมขึ้นด้วย D/E ratio ปัจจุบันต่ำที่ 0.4 เท่า) และตามเป้าหมายของบริษัทที่ตั้งไว้ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ประเมินกรอบราคาเชิงกลยุทธ์ (tactical) เบื้องต้นคาดที่ 7.50-13.50 บาท อิง EPS ปี 2566
ทั้งนี้เนื่องจากฐานกำไรจะเติบโตอย่างก้าวกระโดดเป็นผลมาจากการโอนโครงการคอนโดต้นสน วัน เรสซิเดนซ์ ตลอดจนโครงการในมือ ซึ่งจะทำให้บริษัทมีการเติบโตของรายได้เฉลี่ย 30% CAGR ในช่วงปี 2565-2568
ด้านนายศุภโชค ปัญจทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซท ไฟว์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ A5 ประกอบธุรกิจลงทุนในบริษัทอื่น (Holding Company) โดยลงทุนในธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ มีบริษัทย่อย 2 บริษัท พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ประเภทคอนโดและบ้านจัดสรรเพื่อขาย เปิดเผยว่าผลประกอบการในปี 2564 มีรายได้รวมอยู่ที่ 855.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.99 ล้านบาท หรือ 3.50% จากงวดเดียวกันปีก่อนที่ทำได้ 826.88 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 130.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 73.46 ล้านบาท หรือ 128.35% จากงวดเดียวกันปีก่อนทำได้ 57.23 ล้านบาท เนื่องจากรับรู้กำไรจากการขายที่ดินโครงการหยุดพัฒนา 105.25 ล้านบาท
นอกจากนี้ยังมีรายได้จากเงินจองและเงินทำสัญญา เนื่องจากลูกค้ายกเลิก 11.06 ล้านบาท และปี 2563 บริษัทย่อยมีการรับรู้กําไรจากการถูกเวนคืนที่ดิน 11.01 ล้านบาท โดยที่ดินดังกล่าวเป็นที่ดินผืนเดียวกันกับที่ดินโครงการที่หยุดพัฒนาและมีการขายไปในระหว่างปี 2564 ประกอบกับต้นทุนการขายอสังหาริมทรัพย์ลดลง 62.10 ล้านบาท หรือคิดเป็น 10.19% เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อน
“ในปีที่ผ่านมาต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการบริหารลดลง เพราะในปี 2563 บริษัทฯ มีการรับรู้ค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้เกิดขึ้นเป็นประจำได้แก่ ค่าตัดจําหน่ายต้นทุนโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่หยุดพัฒนา เป็นค่าใช้จ่าย จำนวน 4.87 ล้านบาท อีกทั้ง ยังมีค่าธรรมเนียมธนาคาร (Prepayment fee) จำนวน 3 ล้านบาท ที่เกิดขึ้นในปี 2563 จากการ refinance สินเชื่อ จึงเป็นปัจจัยบวกที่ช่วยสนับสนุนให้กำไรในปี 2564 เพิ่มขึ้น 128.35%” นายศุภโชค กล่าว
อย่างไรก็ตามคณะกรรมการบริษัทฯ ยังมีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลงวดปี 2564 ในอัตราการจ่ายปันผลเป็นเงินสดหุ้นละ 0.01 บาท โดยวันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล (XD) คือวันที่ 3 พฤษภาคม 2565 วันกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record date) คือวันที่ 4 พฤษภาคม 2565 และวันที่จ่ายเงินปันผลคือวันที่ 27 พฤษภาคม 2565
อนึ่งในปี 2565 บริษัทฯ เตรียมเปิดโครงการใหม่รวม 3 โครงการ มูลค่ารวม 3,200 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยว 1 โครงการ ในพื้นที่กรุงเทพฯ มูลค่า 2,700 ล้านบาท และบ้านแนวราบในจังหวัดอุดรธานี 2 โครงการ มูลค่า 500 ล้านบาท และวางเป้าหมายยอดรับรู้รายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ที่ 1,000 ล้านบาท โดยยอดรับรู้รายได้ส่วนหนึ่งจะมาจากการขายและโอนบ้านพร้อมอยู่เฟสสุดท้ายในโครงการวนา เรสซิเดนซ์ พระราม 9-ศรีนครินทร์