STI ย้ายเทรด SET ปีนี้ โบรกประสานเสียง “ซื้อ” เคาะเป้าเฉียด 12 บ.
STI พร้อมสยายปีกโต! เตรียมย้ายเข้าตลาด SET ปีนี้ ตุนแบ็คล็อกแน่น 4 พันลบ. โบรกประสานเสียง “ซื้อ” วางเป้าสูง 11.82 บ.
นายสมเกียรติ ศิลวัฒนาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สโตนเฮ้นจ์ อินเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ STI เปิดเผยว่า ในปี 2565 STI เตรียมก้าวสู่การเติบโตครั้งใหญ่ หลังที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ประกาศแผนการย้ายหลักทรัพย์ STI จากตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เพื่อยกระดับองค์กรให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้นจากนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ พร้อมประกาศจ่ายปันผลในรูปแบบหุ้นและเงินสด เพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้น และย้ำแผนการเติบโตในปีนี้
ทั้งนี้นับเป็นก้าวสำเร็จอันรวดเร็ว นับตั้งแต่ STI เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ตั้งแต่ปลายปี 2561 ก็ได้ประกาศผลการดำเนินงานที่เติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง หรือมีรายได้รวมในปี 2561 อยู่ที่ 635.10 ล้านบาท และล่าสุดปี 2564 รายได้รวมอยู่ที่ 1,741.88 ล้านบาท ในเวลา 3 ปี เติบโตสูงกว่า 174% รวมทั้งในช่วงไตรมาส 2 ปี 2563 STI ได้ประกาศบันไดก้าวแรกเพื่อขยายการเติบโต เข้าลงทุนซื้อหุ้นของบริษัท เอเชี่ยน เอ็นจิเนียริ่ง คอนซัลแต้นส์ จำกัด หรือ AEC บริษัทที่ปรึกษาด้านวิศวกรรมชั้นนำ เพิ่มความแข็งแกร่งให้กลุ่มธุรกิจสู่โอกาสการเติบโตครั้งใหญ่
อย่างไรก็ดีมั่นใจว่า ปี 2565 STI พร้อมที่จะย้ายเข้า SET เสริมภาพลักษณ์ธุรกิจ และสร้างความเชื่อมั่นไปยังกลุ่มนักลงทุนสถาบัน รวมทั้งวางเป้าหมายการเติบโตของรายได้ปีนี้ คาดทะลุ 2,000 ล้านบาท จากงานในมือ (Backlog) อยู่ในระดับสูงถึง 4,000 ล้านบาท และยังอยู่ระหว่างประมูลงานใหม่ ที่มองว่าจะมีปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ที่ผ่านมาอย่างมีนัยสำคัญไปอีก 3-5 ปีจากนี้ ทั้งงานเมกะโปรเจกต์ภาครัฐและโครงการขนาดใหญ่ภาคเอกชน ตามทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมก่อสร้าง โดย STI วางกลยุทธ์ขยายความเชี่ยวชาญให้ครอบคลุมงานที่ปรึกษาควบคุมงานก่อสร้างในกลุ่มลูกค้าหลากหลายอุตสาหกรรมมากขึ้น เพิ่มโอกาสชิงเค้กก้อนใหญ่ด้วยความเชื่อมั่นจากลูกค้า ตลอดจนความเชี่ยวชาญและคุณภาพงานคือหัวใจสำคัญ
ด้านบทวิเคราะห์ บล.ดีบีเอส วิเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุว่า กำไรในไตรมาส 4/2564 อยู่ที่ 39.10 ล้านบาท ใกล้เคียงกับที่ทางฝ่ายวิจัยคาดไว้ที่ 40.90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.30% เมื่อเทียบจากปีก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 14.10% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อนหน้า ฟื้นตัวหลังโควิด อัตรากำไรขั้นต้นไตรมาส 4/2564 อยู่ที่ 31.40% สูงกว่าที่ทางฝ่ายวิจัยคาดไว้ที่ 29.70% จากสถานการณ์โควิดทีดีขึ้นและมีการลดค่าใช้จ่ายลง โดยปี 2565 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้ 2,000 ล้านบาท เจาะตลาดธุรกิจเมกะเทรนด์โรงพยาบาล อาคาร คลังสินค้าและงานรัฐ จ่ายหุ้นปันผล 0.8 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่และเงินปันผล 0.0694 บาท เพิ่มสภาพคล่องในการซื้อ-ขายหุ้นและเตรียมย้ายเข้า SET ปรับกำไรปี 2565 และ 2566 ขึ้น 3.30% และ 8.20% จากการลดค่าใช้จ่าย
ทั้งนี้คงคำแนะนำ “ซื้อ” ใช้ราคาพื้นฐานปี 2565 ที่ 11.82 จากเดิม 10 บาท โดยอ้างอิงกับ P/E ที่ 17 เป็นระดับ PE ที่ไม่สูง เมื่อเทียบกับการเติบโตของรายได้และกำไรสุทธิในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาที่โตเฉลี่ย CAGR ที่ 36.8% และ 25% ตามลำดับ และหากเทียบกับกลุ่มรับเหมาธุรกิจที่ใกล้เคียงกันบริษัทยังมีการเติบโตของรายได้และกำไรดีกว่า แต่ระดับ PE ต่ำกว่า นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีโอกาสที่จะได้รับประโยชน์จากการลงทุนที่ทยอยฟื้นตัวในช่วงต่อจากนี้และฐานในปี 2564 ต่ำ มีโอกาสฟื้นตัวหลังจบโควิด 19
ส่วนบทวิเคราะห์ บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุว่า กำไรไตรมาส 4/2564 เพิ่มขึ้น 26% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และ เพิ่มขึ้น 7.50% เมื่อเทียบจากปีก่อนหน้า ฟื้นตัวชัดเจนหลังงานก่อสร้างกลับมาสู่สภาวะปกติแล้ว ด้าน Backlog ในมือสูงราว 4 พันล้านบาท และงานก่อสร้างกลับมาสู่ปกติหนุนตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 2 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบจากปีก่อนหน้า คาดกำไรสุทธิปีนี้จะอยู่ที่ 170 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18% จากปีก่อน ราคาเป้าหมายก่อน XD อยู่ที่ 11.70 บาท Upside 18.2% ยืนยัน คำแนะนำ “ซื้อ” โดยเทียบเท่าราคาเป้าหมายก่อน XD ที่ 11.70 บาท