“ทริส” คงเรทติ้งองค์กร-หุ้นกู้ BTS ระดับ A แนวโน้ม “ลบ” สะท้อนภาระหนี้สูงขึ้น

“ทริสเรทติ้ง” คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ฯ ที่ระดับ A แนวโน้ม"Negative" หรือ "ลบ" สะท้อนภาระหนี้ของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากโอกาสในการลงทุนในสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าใหม่โดยบริษัทย่อยอย่าง BTSC


บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดปัจจุบันของ บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ที่ระดับ A พร้อมแนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” ในขณะเดียวกัน ทริสเรทติ้งยังจัดอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันชุดใหม่ในวงเงินไม่เกิน 1.2 หมื่นล้านบาทของบริษัทที่ระดับ “A” ด้วยเช่นกัน บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ใหม่ไปใช้ชำระคืนหนี้

ขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” สะท้อนถึงความเป็นไปได้ที่ภาระหนี้ของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากโอกาสในการลงทุนในสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าใหม่ซึ่งดำเนินงานโดยบริษัทย่อยหลักของบริษัทคือ บมจ. ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ (BTSC)

ทั้งนี้ อันดับเครดิตยังคงสะท้อนถึงความแข็งแกร่งทางธุรกิจของบริษัทซึ่งเป็นผลมาจากการมีรายได้ค่าบริการที่สม่ำเสมอจากการให้บริการเดินรถไฟฟ้า ตลอดจนการมีกระแสเงินสดรับจำนวนมากจากการลงทุนในสัดส่วน 33.33% ในกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางรางบีทีเอสโกรท (BTSGIF) และสถานะที่มั่นคงในธุรกิจสื่อโฆษณาของบริษัท อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดบางส่วนจากโอกาสที่ภาระหนี้ของบริษัทจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมากเพื่อใช้ลงทุนในโครงการจำนวนมาก

โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีบัญชี 2565 (เม.ย.-ธ.ค.64) รายได้ของบริษัท (ไม่รวมรายได้จากการให้บริการรับเหมาติดตั้งและก่อสร้าง รวมทั้งการจัดหารถไฟฟ้า) เพิ่มขึ้น 33% สู่ระดับ 8.2 พันล้านบาทซึ่งส่วนใหญ่มาจากการให้บริการเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M Contract) รถไฟฟ้าและการรวมรายได้จาก บริษัท แฟนสลิงค์ คอมมูนิเคชั่น จำกัด ทั้งนี้ กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทปรับตัวเพิ่มขึ้น 3% เป็น 6.7 พันล้านบาทในช่วง 9 เดือนแรกของปีบัญชี 2565

ขณะที่อัตราส่วนเงินกู้สุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเมื่อรวมเงินกู้ที่ใช้เป็นเงินทุนสำหรับลูกหนี้ค้างรับจากกรุงเทพมหานครก็เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญมาอยู่ที่ 10.2 เท่าในช่วง 9 เดือนแรกของปีบัญชี 2565 ในขณะที่ อัตราส่วนเงินกู้สุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายเมื่อหักลูกหนี้ค้างรับจากกรุงเทพมหานครจากเงินกู้ อยู่ที่ระดับ 6 เท่า อย่างไรก็ตาม บริษัทมีความพยายามที่จะลดอัตราส่วนเงินกู้สุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายให้ต่ำกว่า 5 เท่าโดยการเพิ่มทุนในบริษัทย่อยแห่งหนึ่งและการขายเงินลงทุนออกไปบางส่วน

โดย ณ เดือนธันวาคม 2564 บริษัทมีหนี้สินรวมอยู่ที่จำนวน 9.1 หมื่นล้านบาทซึ่งเป็นหนี้ที่มีสิทธิ์ได้รับชำระคืนก่อนที่จำนวน 2.5 หมื่นล้านบาท โดยหนี้ที่มีสิทธิ์ได้รับชำระคืนก่อนเป็นหนี้ที่ไม่มีการค้ำประกันในบริษัทย่อย ทั้งนี้ เนื่องจากบริษัทมีอัตราส่วนหนี้ที่มีสิทธิ์ได้รับชำระคืนก่อนต่อหนี้สินรวมที่ระดับ 27.5% ซึ่งต่ำกว่าระดับเพดานที่ 50% ทริสเรทติ้งจึงมองว่าเจ้าหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของบริษัทไม่ได้มีความเสียเปรียบเจ้าหนี้ที่มีสิทธิ์สูงกว่าอย่างมีนัยสำคัญ

ส่วนแนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” สะท้อนถึงความเป็นไปได้ในระดับสูงที่ภาระหนี้ของบริษัทจะเพิ่มขึ้นอย่างมากจากโอกาสในการลงทุนใหม่ ๆ ซึ่งอาจส่งผลให้สถานะเครดิตของบริษัทไม่สอดคล้องกับอันดับเครดิตในปัจจุบันของบริษัท

สำหรับปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง โอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตในช่วง 2-3 ปีข้างหน้านั้นยังไม่น่าจะเกิดขึ้นเนื่องจากทริสเรทติ้งคาดว่าบริษัทจะยังคงมีภาระหนี้อยู่ในระดับสูง ในขณะที่อันดับเครดิตอาจปรับลดลงได้หากอัตราส่วนเงินกู้สุทธิต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายของบริษัทอยู่ในระดับสูงเกินกว่า 5 เท่าเป็นระยะเวลาที่ต่อเนื่อง

Back to top button