NCL กาง 3 กลยุทธ์ ชูโมเดลธุรกิจ Asset light ดันผลงานปี 65 โต 60%
NCL วางแผนผลการดำเนินงานปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 50-60% มีกลยุทธ์การดำเนินงานหลัก 1.ขยายความสามารถในการรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมขนส่ง 2.ขยายขอบเขตการให้บริการไปยังธุรกิจการให้เช่าคลังสินค้าพร้อมบริการจัดส่ง 3.การดำเนินงานด้วยธุรกิจใหม่ดิจิตอลมาเข้าหนุน พร้อมใช้โมเดลธุรกิจแบบ Asset light เสริมศักยภาพสร้างรายได้ให้มั่นคง
นายพงษ์เทพ วิชัยกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอ็นซีแอล อินเตอร์เนชั่นแนล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ NCL เปิดเผยในงาน Opportunity Day บริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุนที่นำเสนอผ่านระบบ VDO Conference ซึ่งจัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) วันนี้ (14 มี.ค.2565)
โดยผลประกอบการในปี 2564 บริษัทฯ พลิกมีกำไรสุทธิ 111.10 ล้านบาท จากปีก่อนขาดทุนสุทธิ 26.07 ล้านบาท หลังได้รับปัจจัยบวกจากค่าระวางเรือที่สูงขึ้นและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ทำให้รายได้เติบโตมากกว่าเท่าตัว ประกอบกับมูลค่าการนำเข้าและส่งออกรวมเติบโตขึ้นอย่างมีนัยยะ โดยปัจจัยหลักมาจากสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ที่บรรเทาลง ส่งผลให้ปริมาณความต้องการซื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ผู้บริโภคลดการจับจ่ายในช่วงก่อนหน้า
“เศรษฐกิจในประเทศคู่ค้าสำคัญของประเทศไทยโดยเฉพาะประเทศในกลุ่มพัฒนาแล้วกลับมาฟื้นตัวผลักดันการผลิตให้กลับมาขยายตัวอย่างมาก สังเกตได้จากดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตโลก (Global Manufacturing PMI) ที่สูงถึง 54.2 หน่วย หลังจากลงไปจุดต่ำสุดกว่า 40 หน่วย ในช่วงการปิดเมือง ประกอบกับค่าเงินบาทที่ยังไม่แข็งค่าเมื่อเทียบกับปีก่อนเป็นตัวหนุนความสามารถในการแข่งขันด้านราคากับคู่แข่งในตลาดต่างประเทศ ส่งผลให้มูลค่าการนำเข้าและส่งออกรวมเติบโตกว่าร้อยละ 25 เทียบกับปีก่อน” นายพงษ์เทพ กล่าว
ส่วนในปี 2565 บริษัทฯ ยังคงเชื่อมั่นว่าผลประกอบการจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 50-60% จากปี 2564 เนื่องจากบริษัทฯ คาดว่าอุตสาหกรรมขนส่งของไทยยังจะเติบโตต่อเนื่องจากหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์โควิดที่เริ่มบรรเทาลงส่งผลให้เศรษฐกิจในหลายประเทศปรับตัวดีขึ้น,การบังคับใช้ RCEP ที่เริ่มต้นวันที่ 1 ม.ค.2565 ทำให้การนำเข้าส่งออกไปยังประเทศสมาชิกอาเซียนอีก 14 ประเทศคล่องตัวมากขึ้น, ปัญหาห่วงโซ่การผลิตที่มีความล่าช้าและเปราะบางส่งผลต่อค่าระวางเรือที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันอุตสาหกรรมขนส่งของประเทศไทยยังต้องเผชิญความเสี่ยงภายนอกหลายประการเช่น สงครามทางการเมืองของประเทศมหาอำนาจ, อัตราเงินเฟ้อจากประเทศคู่ค้าที่อาจจะส่งต่อผ่านสินค้าต่างๆ หรือปัญหาการแข่งขันเชิงราคาหลังจากที่ค่าระวางเรือเพิ่มขึ้นมากในปีที่ผ่านมา แต่บริษัทฯ มีความได้เปรียบด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่สะสมมากว่า 28 ปี ทำให้มีฐานลูกค้าประจำที่แข็งแกร่ง ประกอบกับการใช้โมเดลธุรกิจแบบ Asset light ทำให้มีความคล่องตัวและไม่เกิดต้นทุนจมโดยไม่จำเป็น
สำหรับในปี 2565 บริษัทฯ มีกลยุทธ์การดำเนินงานหลัก ดังนี้
1.ขยายความสามารถในการรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมขนส่งมุ่งเน้นขยายการให้บริการในธุรกิจหลัก เพื่อรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมการขนส่งที่เปลี่ยนแปลงไปหลังจากเกิดการแพร่ระบาดของโควิด 19 โดยกลยุทธ์ในการขยายองค์กรประกอบด้วย การเพิ่มเส้นทางการขนส่งไปยังท่าเรือต่างๆ เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับลูกค้าขนส่งระหว่างประเทศ การเพิ่มปริมาณตู้คอนเทนเนอร์ การพัฒนาบุคลากรภายในองค์กรให้รองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นและการมุ่งหน้าเปลี่ยนแปลงองค์กรให้เท่าทันยุคดิจิตอลด้วยเครื่องมือต่างๆ
2.ขยายขอบเขตการให้บริการไปยังธุรกิจการให้เช่าคลังสินค้าพร้อมบริการจัดส่ง โดยบริษัทฯ ต่อยอดธุรกิจโกดังสินค้าด้วยการให้บริการ Fulfillment center หรือศูนย์รวมสินค้าที่ทำหน้าที่รับสินค้าจากธุรกิจขนส่งที่บริษัทเชี่ยวชาญอยู่แล้ว ให้บริการจัดเก็บและจัดส่งสินค้าอย่างครบวงจร ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีโกดังสินค้าขนาด 700 ตารางเมตร เพื่อรองรับการพักสินค้าและมีแผนจะขยายเป็น 3,500 ตารางเมตรในปี 2565 นอกจากนี้บริษัทฯ ยังอยู่ระหว่างเจรจาเป็นพันธมิตรกับผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านระบบจัดการสินค้าในโกดังเก็บสินค้าเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกด้านการจัดการต่างๆ โดยคาดว่าการร่วมมือจะแล้วเสร็จในไตรมาส 1/2565
3.บริษัทฯ เสริมความมั่นคงของการดำเนินงานด้วยธุรกิจใหม่ ด้วยเล็งเห็นถึงสภาวะที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วของอุตสหกรรมขนส่งและเล็งเห็นถึงความเสี่ยงจากการพึ่งพารายได้จากธุรกิจที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสภาวะเศรษฐกิจ ดังนั้นการเข้าลงทุนในธุรกิจดิจิตอลจะเป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญที่เข้ามาหนุนการเติบโตอย่างมีศักยภาพด้วยต้นทุนการดำเนินงานที่ลดลงอีกทั้งยังช่วยกระจายความเสี่ยงจากธุรกิจการขนส่งได้เป็นอย่างดี