ลุ้นผลงาน “BGRIM-GULF” ครึ่งปีหลังโต รับราคา LNG อ่อนตัวหนุนต้นทุนลด 10%

FSSIA ประเมินผลงาน “BGRIM-GULF” งวดครึ่งปีหลังสดใสจากราคาก๊าซ LNG ที่ลดลงหลังสหรัฐมีการจ่ายก๊าซเข้ามาในระบบ ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนลดลงราว 7-10%


นายทรงกลด วงศ์ไชย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ FSSIA ระบุในบทวิเคราะห์ว่า การที่นักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกจากความกังวลภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ซึ่งรวมถึงตลาดหุ้นไทยด้วยเช่นกัน คาดว่าเป็นเรื่องของเงินเฟ้อที่จะปรับตัวสูงขึ้นจากราคาพลังงานที่สูงขึ้น และเศรษฐกิจจะเติบโตช้าลง โดยฝ่ายวิเคราะห์มองว่าการปรับตัวลง 5.8% ของตลาดหุ้นไทยก่อนหน้านี้เป็นการรับรู้ผลกระทบในมุมมองที่แย่ที่สุดจากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนไปแล้ว

โดย FSSIA เชื่อว่าอัตราเงินเฟ้อที่สูงจะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในระยะสั้นจากการมีกำลังซื้อที่ลดลง ประกอบกับการขึ้นดอกเบี้ยของธปท. อย่างไรก็ตามในระยะยาว FSSIA เชื่อว่าเงินเฟ้อจะผลักดันให้เศรษฐกิจไทยขยายตัว โดยเฉพาะจากการท่องเที่ยวที่สูงขึ้น เงินอุดหนุนจากภาครัฐที่เบาลง และกำลังการผลิตจากภาคอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งสำหรับการส่งออก และลงทุน

ทั้งนี้ FSSIA อ้างอิงการวิเคราะห์ของธปท.เรื่องอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศไทยต่อราคาน้ำมันที่สูงขึ้น โดยระบุว่าทุกๆการปรับขึ้นของราคาน้ำมันดิบ 10 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จะส่งผลให้ GDP ไทยเติบโตช้าลง 0.1% และเงินเฟ้อจะเพิ่มขึ้น 0.5%

โดยทำการทดสอบภาวะวิกฤติ (Stress Test) SET Index จากใช้การวิเคราะห์แบบบนลงล่าง (Top Down) และแบบล่างขึ้นบน (Bottom Up) ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่าปัจจัยเสี่ยงต่อตลาดหุ้นไทยอยู่ราว 3.6-4.6% ซึ่งจะทำให้ดัชนีอยู่ในช่วง 1,567 จุด และ 1,584 จุด ในขณะที่การเติบโตของ GDP จะอ่อนตัวลง 0.4% ในปี 2022

อย่างไรก็ดี ทางฝ่ายวิเคราะห์เชื่อว่าปัจจัยเชิงลบที่มีผลต่อดาวน์ไซด์ของ SET Index นั้นค่อนข้างจำกัด (3.6-4.6%) ทำให้ FSSIA มองว่าหุ้นกลุ่ม Domestic มีความน่าสนใจ ผลักดันโดยการฟื้นตัวในประเทศที่แข็งแกร่ง และการกลับมาของการท่องเที่ยวในประเทศไทย ทั้งนี้ยังมีมุมมอง Overweight ในหุ้นไทย โดยคงเป้า SET Index ปีนี้ไว้ที่ 1,892 จุด ผลักดันโดย 1) กำไรบริษัทจดทะเบียนที่แข็งแกร่ง 2) ภาพรวมเศรษฐกิจดีขึ้น และ 3) อัพไซด์จากการท่องเที่ยว และการส่งออกที่เติบโต

ทั้งนี้ จากการที่ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น ผนวกกับโอกาสที่การเติบโตทางเศรษฐกิจจะช้าลง และเงินเฟ้อสูงขึ้น FSSIA มองว่ากลุ่มอุตสาหกรรมที่จะได้ประโยชน์จากผลกระทบเหล่านี้มากที่สุดก็คือกลุ่มพลังงานจากดีมานด์ที่สูงขึ้น โดยจะได้รับผลบวกจากราคาน้ำมัน และเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ทำให้ธุรกิจการกลั่นขั้นปลายน้ำสามารถทดแทนกับราคาต้นทุนที่สูงขึ้นได้ ในขณะที่ผู้ผลิตต้นน้ำจะได้รับประโยนช์จากมาร์จิ้นที่สูงขึ้นจากราคาขายเฉลี่ยที่เพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ FSSIA มองว่า บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP และ บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) หรือ BANPU จะมีปริมาณการผลิตที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งน่าจะช่วยหนุนกำไรสุทธิให้เพิ่มขึ้นได้จากมาร์จิ้นที่สูง ในระยะยาว บริษัทที่ทำธุรกิจด้านพลังงานน่าจะได้รับปัจจัยบวกต่อดีมานด์ที่สูงขึ้นในครึ่งหลังปี 2565 เป็นต้นไปหลังทั่วโลกฟื้นตัวจากการระบาดโควิด-19

สำหรับสินค้าโภคภัณฑ์หลักทั้งสาม FSSIA มองว่าถ่านหินมีความน่าสนใจที่สุดเนื่องจากมีซัพพลายที่จำกัด และดีมานด์ที่สูงซึ่งมาจากการเลี่ยงมาใช้ถ่านหินเนื่องจากราคาน้ำมัน และก๊าซปรับตัวขึ้นสูง ขณะเดียวกัน ราคาก๊าซในยุโรปมีการปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุด แต่ทางฝ่ายวิเคราะห์มองว่าราคาก๊าซ LNG น่าจะเริ่มผ่อนลงในช่วงครึ่งปีหลังนี้หลังสหรัฐมีการจ่ายก๊าซเข้ามาในระบบ

อย่างไรก็ตาม FSSIA ระบุว่ากลุ่มปิโตรเคมี สาธารณูปโภค จะได้รับผลกระทบเชิงลบจากราคาต้นทุนที่สูงขึ้น โดยฝั่งปิโตรเคมีจะได้รับผลกระทบต่อมาร์จิ้นที่ลดลงเนื่องจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น สอดคล้องกับราคาต้นทุนวัตถุดิบนาฟทาจะปรับตัวสูงขึ้นคู่กับราคาน้ำมัน อย่างไรก็ตามยังต้องดูถึงไลน์การผลิต โดยมองว่าในปี 2565 นี้สายการผลิตโอเลฟินส์ และอโรมาติกส์อาจมีมาร์จิ้นที่อ่อนตัวลงจากซัพพลายล้นตลาด ในขณะเดียวกันโพลีเอสเตอร์ และ PVC คาดว่าจะยังมีมาร์จิ้นที่แข็งแกร่งจากซัพพลายที่จำกัด และดีมานด์ที่สูง

ด้านกลุ่มสาธารณูปโภค FSSIA ระบุว่า SPP จะได้รับผลกระทบจากต้นทุนก๊าซที่สูงขึ้นตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังปี 2564 มาจนถึงไตรมาส 1/2565 แต่ฝ่ายวิเคราะห์คาดว่ามาร์จิ้นจะค่อยๆปรับตัวสูงขึ้นในช่วงไตรมาส 2/2565 สำหรับบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM และบริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ที่คาดว่าการนำเข้าก๊าซ LNG จะเริ่มขึ้นในไตรมาส 1/2566 ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนได้ราว 7-10% ส่วน IPP ยังเป็น Defensive Plays ของ FSSIA เนื่องจากมีการเติบโตของกำลังการผลิตน้อยกว่า SPP โดยมาร์จิ้นคาดว่าจะทรงตัวเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และมีอัตราการเติบโตของดีมานด์ที่ค่อนข้างจำกัด

นอกจากนี้ หุ้นก่อสร้างอย่าง บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ STEC ก็จะได้รับผลกระทบเชิงลบจากราคาเหล็กที่สูงขึ้นเนื่องจากมีโครงการโรงไฟฟ้าที่กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง แต่หุ้นอย่าง บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK อาจยังไม่ได้รับผลกระทบมากเนื่องจากโครงการหลักๆ อย่างทางรถไฟคู่เด่นชัย-เชียงราย และ MRT สายสีม่วงกำลังอยู่ในช่วงออกแบบ และการก่อสร้างจะเริ่มขึ้นอย่างเร็วในอีกหนึ่งปีข้างหน้า

Back to top button