PTTGC รุกต่อยอด Allnex ดัน “อีบิทด้า” โตเพิ่ม 40% แย้มจ่อปิดดีลใหญ่ 1 โครงการปีหน้า
PTTGC รุกต่อยอด Allnex ดัน “อีบิทด้า” โตเพิ่ม 40% แย้มจ่อปิดดีลใหญ่ 1 โครงการปีหน้า พร้อมชูกลยุทธ์ปรับพอร์ตธุรกิจให้ผันผวนน้อย-กระจายความเสี่ยงทุกธุรกิจ รับ Mega trends โลก ขณะที่สงครามรัสเซีย-ยูเครนเชื่อกระทบระยะสั้น
ดร.คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ผ่านรายการ “ข่าวหุ้น” ออกอากาศทางช่อง MCOT HD30 ในวันที่ 17 มีนาคม 2565 มีประเด็นสำคัญดังนี้
จากสถานการณ์ยูเครน มีผลกระทบอะไรกับ GC ต้องมีการปรับแผนหรือกลยุทธ์อย่างไร
ต้องยอมรับว่าธุรกิจ PTTGC ผลิตเคมีภัณฑ์ตลาดก็คือทั้งโลกเรื่องราคา Demand-Supply ก็ขึ้นอยู่กับเศรษฐกิจ และการเติบโตทางเศรษฐกิจของโลก ถ้าดู 2 มุมในการเกิดสงครามครั้งนี้ โดยผลลบกระทบต่อธุรกิจก็มีเรื่อง supply chain เช่น ค่าใช้จ่าย ค่าขนส่งต่างๆที่สูงขึ้น และการน้ำมันราคาสูงในระยะกลาง-ระยะยาว มีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกและการเติบโตถดถอยลงบ้างนั้นคือภาพรวมของธุรกิจทั้งโลกและเศรษฐกิจต่างๆ
ในขณะที่ธุรกิจ PTTGC ของที่ผลิตและนำไปขายจนถึงลูกค้าที่นำไปทำและของใช้ที่จำเป็นในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นด้านสุขภาพอนามัย ด้านความสะดวกสบาย เรื่องความต้องการตรงนี้ยังคงอยู่ และการขนส่งต่างๆจะมีผลอยู่บ้าง โดยเฉพาะธุรกิจในยุโรปซัพพลายเชนถึงกันหมด จึงกระทบบ้างในระยะสั้น แต่เนื่องจากธุรกิจบริษัทมีการกระจายความเสี่ยงอยู่ในทุกๆธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการขนส่ง การก่อสร้าง และแพคเกจจิ้ง สุขอนามัยต่างๆ จะกระจายความเสี่ยงไปในหลายธุรกิจ
โลกในยุคปัจจุบันทำให้ต้องทำธุรกิจตามเทรนด์โลก และ GC มีแผนกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนอย่างไร
จากสถานการณ์ยูเครนทางบริษัทมีการวางแผนหลายด้าน โดยแผนหนึ่งที่เตรียมไว้ก็คือหากยืดเยื้อยาวทางบริษัทก็เตรียมไว้ แต่เชื่อว่าสถานการณ์ดังกล่าวน่าจะจบลงในระยะสั้นและระยะกลาง พร้อมกับวางแผนระยะยาวไว้ด้วย เพราะอย่างไรก็ตามต่อให้สงครามสงบเร็วแต่แผลต่อประชาคมโลกการแบ่งขั้วที่ชัดเจนขึ้น การที่ประเทศ 2 ฝั่ง ความไว้วางใจ การเปิดกว้างทางการค้าเศรษฐกิจ และการกีดกันทางการค้าจะมีผลข้างเคียงไประยะหนึ่ง
ดังนั้นบริษัทต้องวางแผนเผื่อในทุกๆธุรกิจ เนื่องจากสินค้าบริษัทเป็นของใช้ที่จำเป็นและโลกต้องเจริญเติบโต และสินค้าหลายๆอย่างตาม Mega Trend ของโลก อาทิ กลุ่มอายุสูงวัยมากขึ้น คนรุ่นใหม่เข้ามา สังคมเมือง การรักษาดูแลสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ต่างๆ และต้องเตรียมพร้อมรับมือให้ดี
อีกทั้งจากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่กำลังจะเกิดขึ้นได้อยู่ในขณะนี้ ทางด้าน GC สถานะยังคงแข็งแกร่งทั้งเรื่องเงินทุนเรื่อง และในปีที่ผ่านมาบริษัทมีกำไรเพิ่มขึ้นจากทุกๆธุรกิจ มีการลดต้นทุน มีการขยายธุรกิจไปต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง และพอร์ตธุรกิจปัจจุบันไม่ใช่ทำเฉพาะปิโตรเคมีเหมือนเมื่อก่อน อาทิ โรงกลั่นน้ำมัน ธุรกิจตรงนี้ประมาณ 10%
ส่วนขณะนี้ธุรกิจ Performance Chemicals ที่ใกล้ลูกค้ามากๆ เศรษฐกิจจะเป็นแบบไหนธุรกิจกลุ่มนี้กำไรค่อนข้างคงที่และยังมีธุรกิจ“กรีน” และ “Bio&Circularity ” ส่วนหนึ่ง เพราะฉะนั้นปัจจุบันพอร์ตธุรกิจสัดส่วน 30% จะเป็นธุรกิจเกี่ยวกับ Performance Chemicals ขณะที่โรงกลั่นสัดส่วน 30% สัดส่วนที่เหลือเป็นกลุ่มไฮแวลู ธุรกิจค่อนข้างหลากหลายและใกล้ลูกค้าใกล้ Mega Trend มากขึ้น และพร้อมจะขยายธุรกิจให้เติบโตในอนาคตและยั่งยืนมากขึ้น
ด้านราคาน้ำมันทะลุ 120-130 เหรียญ/บาร์เรล ได้รับผลกระทบธุรกิจในวงจำกัด แม้ราคาน้ำมันจะสูง แต่เนื่องจากสินค้าปลายทางมีหลายตัว และน้ำมันราคาสูงก็ได้รับผลบวกคือกำไรสต๊อกเกนสูงขึ้น และ Allnex ที่เข้าไปซื้อธุรกิจมาซึ่งมีสัดส่วนธุรกิจเกือบ 30% ของธุรกิจ PTTGC โดยผลิตภัณธ์ของ Allnex สามารถสร้างแวลู่จากต้นทุนวัตถุดิบสูงก็สามารถทำให้ราคาผลิตภัณฑ์สูงขึ้นด้วย
Allnex ที่ซื้อกิจการสำเร็จมีแผนดำเนินธุรกิจ และตอบโจทย์ธุรกิจเคมีภัณฑ์คุณภาพสูง (Performance Chemicals) และธุรกิจเพื่ออนาคตอย่างไร
มองภาพในปีนี้บริษัทมี Allnex ในพอร์ตธุรกิจ และบวกกับธุรกิจ “Bio&Circularity ” ธุรกิจมั่นคงไม่หวือหวาก็จะอยู่ 1 ใน 3 ของกำไรบริษัท ขณะที่ธุรกิจเดิม คือ โรงกลั่นและปิโตรเคมีพื้นฐานประมาณ 1 ใน 3 ส่วนที่เหลือ คือผลิตภัณฑ์โพลีเมอร์อีก 1 ใน 3 ของกำไรของบริษัท
โดยสินค้าใกล้ลูกค้าอย่าง Allnex กำไรคงที่ EBITDA margin อยู่ที่ประมาณ 15-18% ตรงนี้ก็เป็นการปรับโครงสร้างทางธุรกิจ และพยายามดัน PTTGC เป็นบริษัทเคมีที่ใกล้ลูกค้า “ยิ่งใกล้ยิ่งดี” คือผลิตภัณฑ์ดีต่อลูกค้า และดีต่อสิ่งแวดล้อม แต่กระบวนการที่จะทำสินค้ามาการผลิตก็ต้องดีด้วยและปล่อยคาร์บอนต่ำตามแผน Net Zero โดย Allnex เป็นตัวสำคัญและเป็นตัวอย่างที่ทำให้ความเข้มข้นในการปล่อยคาร์บอนลดลงเยอะเพราะว่า 75% ผลิตภัณฑ์เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
การต่อยอดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ในปัจจุบันและอนาคต (#ยิ่งใกล้คุณยิ่งต้องดี)
สำหรับธุรกิจขณะนี้เดินมาถูกทางโดยกลยุทธ์ของบริษัทคือการปรับพอร์ตธุรกิจให้มีความผันผวนให้น้อยที่สุด และกระจายความเสี่ยงไปอยู่ในทุกธุรกิจ และที่สำคัญคือต้องใกล้ลูกค้ามากขึ้นเกาะกระแส Mega trends เน้น 5 กลุ่ม เช่น climate change, สังคมสูงวัย, สุขภาพ, urbanization, และ disruptive technology
โดยตอนนี้ได้ Allnex เข้ามาในพอร์ตธุรกิจ Performance Chemicals โดยในอนาคตตั้งเป้าให้มีสัดส่วน 35% ซึ่งหลังจากมี Allnex เข้ามาทำให้สัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 28% ในปัจจุบัน ดังนั้นบริษัทต้องการอีก 1 โครงการ ที่จะเพิ่มเข้ามาในอนาคต อย่างไรก็ตามในปีนี้คงไม่มีการเข้าซื้อกิจการขนาดใหญ่เหมือน Allnex แต่คาดว่าจะเกิดขึ้นในปี 2566
อีกส่วนหนึ่งที่ตั้งเป้าให้เติบโตคือ Bio&Circularity ตั้งเป้าเติบโต 5-10 % ก็จะหนักมาทางด้านนี้มากขึ้นใกล้ Mega trends กำไรค่อนข้างคงที่ ที่เหลือก็ค่อยๆปรับในธุรกิจเดิมๆ ปิโตเคมี พอลิเมอร์ จากเดิมทำ ถุง ถัง กะละมัง ปัจจุบันนำมาใช้ประกอบรถยนต์ ใช้แล้วไม่ทิ้งยั่งยืนมากขึ้น ธุรกิจพอลิเมอร์ประมาณ 20-30% ที่เหลือจะเป็นกลุ่มเคมีพื้นฐาน โดยปรับโครงสร้างเสร็จกลุ่มธุรกิจที่ไม่หวือตั้งแต่ปี 2025-2030 กำไรจะทีดีขึ้นมั่นคงและยั่งยืนคือโลกจะโตไปทิศทางไหนธุรกิจก็สามารถตอบสนองความต้องการได้
ปีนี้มีดีล หรือ M&A อะไรที่น่าติดตามเพิ่มเติมอีกหรือไม่
บริษัทมองหาโอกาสต่อเนื่องแต่อาจจะไม่ใหญ่เหมือนเข้าไปซื้อ Allnex แต่ทางด้าน Allnex มีการทำ M&A ไม่ใหญ่อยู่แล้วหากทางบริษัทมีแผนบริษัทจะเข้าไป support เข้าไปซื้อกิจการข้างเคียงก็จะหนุนการเติบโตได้ โดยปัจจุบัน Allnex มีกำไรก่อนหักดอกเบี้ย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) อยู่ที่ประมาณ 400 ล้านยูโร ในระยะสั้นก็จะเพิ่มขึ้น 30-40%