“ทริส” เพิ่มเรทติ้งองค์กร JMART ระดับ “BBB+” สะท้อนฐานทุนแกร่ง-กำไรโตต่อเนื่อง
“ทริสเรทติ้ง” เพิ่มเครดิตองค์กร JMART ระดับ “BBB+” จาก "BBB" และเพิ่มเครดิตหุ้นกู้ เป็น “BBB” จาก "BBB-" สะท้อนฐานทุนแกร่ง-กำไรโตต่อเนื่อง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ บริษัท เจมาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART เป็น “BBB+” จาก “BBB” และปรับเพิ่มอันดับเครดิตหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทเป็น “BBB” จาก “BBB-” ทั้งนี้ อันดับเครดิตหุ้นกู้อยู่ในระดับต่ำกว่าอันดับเครดิตองค์กรซึ่งสะท้อนถึงความด้อยกว่าในเชิงโครงสร้างของภาระหนี้ของเงินกู้ยืมไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกันของบริษัทเมื่อเทียบกับสิทธิเรียกร้องในการชำระคืนหนี้ของบริษัทย่อยต่าง ๆ ของบริษัท ในขณะเดียวกันแนวโน้มอันดับเครดิตถูกปรับเป็น “Stable” หรือ “คงที่” จาก “Positive” หรือ “บวก” การปรับเพิ่มอันดับเครดิตเป็นผลมาจากการเพิ่มทุนซึ่งทำให้สถานะฐานทุนของบริษัทปรับตัวแข็งแกร่งขึ้นอย่างมาก
สำหรับอันดับเครดิตองค์กรสะท้อนถึงระดับการก่อหนี้ที่ดีขึ้นจากฐานทุนที่แข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ตลอดจนผลการดำเนินงานที่ดีของบริษัทซึ่งมีแรงผลักดันจากความเข้มแข็งในธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพของ บริษัทลูกหลักคือ บริษัท เจเอ็มที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT (อันดับเครดิตอยู่ที่ “BBB+/Stable”) รวมถึงสถานะทางการแข่งขันที่ค่อนข้างมั่นคงในธุรกิจจัดจำหน่ายเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ของบริษัท
ขณะที่อันดับเครดิตยังมีข้อจำกัดจากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจจัดจำหน่ายเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ ตลอดจนการกระจุกตัวของแหล่งรายได้ และความไม่แน่นอนของกระแสเงินสดรับในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทอีกด้วย
ส่วนแนวโน้มอันดับเครดิต”Stable” หรือ “คงที่” อยู่บนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่า JMT จะสามารถรักษาระดับผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของธุรกิจบริหารหนี้ด้อยคุณภาพเอาไว้ได้ต่อไป ในขณะที่สถานะในการแข่งขันในธุรกิจจำหน่ายเครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่จะยังคงเดิม โดยรักษาการก่อหนี้ให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ทริสเรทติ้งยังคาดด้วยว่าผลการดำเนินงานของบริษัทลูกรายอื่น ๆ จะปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับโอกาสในการปรับเพิ่มอันดับเครดิตนั้นอาจเกิดขึ้นได้หากบริษัทเจมาร์ทสามารถยกระดับสถานะความเสี่ยงทางธุรกิจของบริษัทจากการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องและความสามารถในการทำกำไรของบริษัทลูกต่าง ๆ เพิ่มขึ้น พร้อมทั้งยังคงรักษาระดับหนี้ในระดับที่เหมาะสมไว้ได้ ในขณะที่ความกดดันทางด้านลบต่ออันดับเครดิตจะเกิดขึ้นจากผลการดำเนินงานที่ถดถอยลงอย่างมีนัยสำคัญทั้งในส่วนของบริษัทเองหรือในส่วนของบริษัทลูกต่าง ๆ หรือจากการลงทุนในเชิงรุกซึ่งจะส่งผลให้บริษัทมีภาระหนี้เพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาดการณ์ไว้จนระดับอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายอยู่สูงเกินกว่า 3.5 เท่าอย่างต่อเนื่อง