TU ปักธงรายได้ปี 65-68 โตเฉลี่ยกว่า 5% ชูกลยุทธ์เน้น “สินค้านวัตกรรม” อัพมาร์จิ้น
TU ปักธงรายได้ปี 65-68 โตเฉลี่ยกว่า 5% โดยเน้นการเพิ่มธุรกิจนวัตกรรมที่จะสร้างรายได้ในสัดส่วน 10% ของรายได้รวม ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะเพิ่มเป็น 20%
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU เปิดเผยว่า บริษัทฯ ตั้งเป้าธุรกิจในปี 2565-2568 ในด้านรายได้เติบโตต่อเนื่องปีละไม่ต่ำกว่า 5% จากปี 2564 ที่มีรายได้ 1.41 แสนล้านบาทสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยเน้นการเพิ่มธุรกิจนวัตกรรมที่จะสร้างรายได้ในสัดส่วน 10% ของรายได้รวม ส่วนอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Profit) คาดว่าจะเพิ่มเป็น 20% จาก 18.2% ในปี 2564
“ทิศทางในปี 2568-2568 ด้าน Top line (รายได้) ไม่ได้ตั้งเป้าหมายเติบโตมาก แต่เน้นความสามารถทำกำไรให้มากกว่า เพราะว่าหาก Gross Profit เติบโตก็จะทำให้กำไรสุทธิดีขึ้นด้วย” นายธีรพงศ์ กล่าว
ทั้งนี้ธุรกิจอาหารทะเลกระป๋อง และอาหารทะเลแช่แข็งแช่เย็น ยังคงเป็นธุรกิจหลัก (Core Business) ที่มีสัดส่วน 42% และ 41% ตามลำดับ ซึ่งเติบโตไม่ต่ำกว่าปีละ 3% ขณะที่อาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์เพิ่มมูลค่า มีสัดส่วน 17% ซึ่งจะเป็น Growth Engine ใหม่ เพราะธุรกิจนี้มีแนวโน้มการเติบโตมากและทำกำไรได้ดี
สำหรับตลาดในประเทศ ที่มีสัดส่วน 10% ของยอดขายนั้น บริษัทฯ มีแบรด์ของตัวเอง “Select” ที่มีส่วนแบ่งการตลาด 58% และเติบโตเฉลี่ยปีละ 9.4% ขณะที่ภาพรวมตลาดทูน่าเติบโตไม่ถึง 1% โดยปัจจัยราคาน้ำมันสูงขึ้นบริษัทไม่ได้รับผลกระทบมาก แม้ว่าจะทำให้ต้นทุนปรับตัวสูงขึ้น บริษัทได้ปรับราคาขึ้น 5-7% และส่วนที่รับจ้างผลิตก็มีการปรับราคาเรื่อยๆตามคำสั่งซื้อ นอกจากนี้บริษัทเตรียมออกสินค้าซีเล็คทูน่ากัญชงภายในปีนี้ ขณะนี้รอกฎหมายและข้อบังคับ และยังพัฒนาทูน่ากัญชาด้วย รวมถึงสินค้าใหม่ ซีเล็คทูน่าในน้ำมันมะกอก
อย่างไรก็ดีบริษัทฯ แยกธุรกิจ (Spin off) กลุ่ม Pet Care ที่จะเป็นไฮไลท์ในปีนี้ โดยมีแผนนำ บมจ.ไอ-เทล คอร์ปอเรชั่น (เดิมชื่อ บมจ.สงขลาแคนนิ่ง) เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ภายในสิ้นปี 2565
นอกจากนี้ในปีนี้ยังมีกลุ่มธุรกิจใหม่ที่จะเป็นธุรกิจเพิ่มมูลค่าที่เน้นสร้างกำไร ซึ่งบริษัทฯ มีเป้าหมายจะเพิ่มสัดส่วนรายได้ในกลุ่มนี้เป็น 10% และอัตรากำไรขั้นต้นมากกว่า 20% ภายในปี 2568
โดยบริษัทฯ จะเดินหน้าสร้างความร่วมมือจากธุรกิจสตาร์อัพด้านเทคโนโลยีอาหาร ที่วางงบลงทุน (Corporate Venture Fund) ไว้ราว 30 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งใช้ไปแล้วกว่า 10 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยจะผลักดันนวัตกรรมใหม่เข้ามาอย่างเนื่องไปถึงปี 68 ได้แก่ กลุ่มธุรกิจส่วนประกอบอาหาร (Food Ingredients) คอลลาเจนเปปไทด์ แคลเซียมจากกระดูกทูน่า น้ำมันปลาทูน่า ในแบรนด์ Zeavita, กลุ่ม suppliment ที่นำสินค้า Food Ingredients เข้าสู่ B2C และกลุ่มโปรตีนทางเลือก
รวมทั้งยังมีการร่วมทุนในกิจการร่วมค้า (JV) ด้านผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มสุขภาพ และขยายการลงทุนในสตาร์อัพ โดยใช้งบในส่วน Corporate Venture Fund และเพิ่มความร่วมมือกับฟู้ดเทคสตาร์ทอัพ
ส่วนในปี 2566-2568 มีแผนจะขยายตลาดและพัฒนาสินค้าโปรตีนทางเลือกที่มองว่าตลาดในไทยมีแนวโน้มเติบโตค่อนข้างสูง เนื่องจากคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับสุขภาพมากขึ้น นอกจากนี้ จะมีการใช้บรรจุภัณฑ์ที่ยั่งยืนเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและรีไซเคิลได้
สำหรับในปี 2565 บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนจำนวน 6 พันล้านบาท ไม่นับรวมธุรกิจใหม่และการเข้าซื้อกิจการ (M&A) โดยการลงทุนจะคล้ายกับการลงทุนในช่วง 2-3 ปีที่มีขนาดไม่ใหญ่มาก เพราะกลยุทธ์ของบริษัทฯ เปลี่ยนไปเน้นธุรกิจอาหารที่มีนวัตกรรม โดยการลงทุนในธุรกิจหลักจะเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลงทุน Robot และ AI นอกจากนี้จะใช้ในการสร้างโรงงานผลิตโปรตีนไฮโดรไลเสตและคอลลาเจนเปปไทด์ คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาส 4/2565 หรืออย่างช้าต้นปี 2566 และขยายธุรกิจโปรตีนทางเลือก
ส่วนการเข้าซื้อกิจการ (M&A) ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะมีกี่ดีล ขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาส รวมทั้งความน่าสนใจของธุรกิจที่บริษัทศึกษาอยู่
ทั้งนี้บริษัทฯ มีความสามารถในการลงทุนเพียงพอเนื่องจากมีอัตราหนี้สินสุทธิ (Net Debt) ต่ำกว่า 1 เท่า ขณะเดียวกันบริษัทฯ ตั้งเป้าภายในปี 2568 จะมีสัดส่วน Blue Finance 75% ของหนี้ระยะยาวที่มีอยู่ 4.5 หมื่นล้านบาท ที่เป็นตราสารหนี้ที่มีนวัตกรรมทางการเงินที่ยั่งยืน เพราะจะช่วยประหยัดดอกเบี้ยได้ดีกว่าหุ้นกู้ปกติ โดยบริษัทฯ มีแผนจะออกหุ้นกู้ในช่วงปี 2566-2567 ที่จะมีหุ้นกู้ที่ครบกำหนดไถ่ถอน คาดว่าจะได้รับการตอบรับดีทั้งในไทยและญี่ปุ่น เนื่องจากบริษัทฯ มีอันดับเครดิตในระดับที่ดี