SHR ส่งซิกรายได้ Q1 โตทะลัก 3 เท่า หลัง “โควิด” คลี่คลายหนุนธุรกิจโรงแรมฟื้น

SHR แย้มรายได้ไตรมาส 1 โต 3 เท่าตัวจากปีก่อน หลังสถานการณ์โควิดเริ่มคลี่คลายหนุนดีมานด์เพิ่มขึ้น ส่วนรายได้ปีนี้คาดโต 2 เท่าตัว หลังเปิดบริการโรงแรมในมัลดีฟส์เต็มตัว


นางสาวศมิษฐา ทินนาม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงิน บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ปี 65 จะเติบโตเป็น 2 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อนที่มีรายได้รวม 4,689.55 ล้านบาท เป็นไปตามการเปิดให้บริการอย่างเต็มที่ของโรงแรมในประเทศมัลดีฟส์ (Maldives) โดยเฉพาะโครงการ CROSSROADS ที่ทั้งปีนี้ยังมีโมเมนตัมที่ดีต่อนื่องจากไตรมาส 4/64

รวมถึงยังสามารถปรับขึ้น Average Daily Rate (ADR) ได้โดยไม่กระทบกับอัตราการเข้าพัก (Occupancy: OCC) ที่คาดว่าจะสูงต่อเนื่องจากปีก่อน หรือมองเฉลี่ยทั้งปีอยู่ที่ราว 70% และจะมีช่วงไฮซีซั่นในไตรมาส 1 และ 4 ส่วนช่วงโลซีซั่นจะเป็นไตรมาส 2 และ 3 ซึ่งจะมี OCC อยู่ที่ประมาณ 50-60% โดยจะเริ่มปรับตัวขึ้นในปลายไตรมาส 3 เป็นไต้นไป

ขณะที่มอง ADR ในครึ่งปีหลังจะสามารถปรับขึ้นได้ต่อ จากกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง (High Spending) อย่างยุโรป อเมริกา รวมถึงเชื่อว่าดีมานด์จากลูกค้าเอเชีย จะกลับมาได้ในช่วงไตรมาส 4/65 เป็นต้นไป

นอกจากนี้โรงแรมในสหราชอาณาจักร (United Kingdom) โดยปกติแล้วไตรมาส 1 จะเป็นช่วงของโลซีซั่น เนื่องจากเข้าสู่ฤดูหนาว ซึ่งดีมานด์จะเริ่มกลับมาตั้งแต่ไตรมาส 2 เป็นต้นไป และพีคสุดในไตรมาส 3 ทำให้มอง OCC ทั้งปีอยู่ที่ 70% สำหรับโรงแรมในหมู่เกาะฟิจิ (Fiji) และ มอริเชียส (Mauritius) ในช่วงเดือน ธ.ค.64 ที่ผ่านมา มีอัตราการเข้าพักถึง 70% ซึ่งสะท้อนความแข็งแกร่งของฐานลูกค้าและกลุ่มท่องเที่ยว โดยบริษัทเชื่อว่าช่วงไฮซีซั่น ทั้ง 2 กลุ่มดังกล่าวจะมีอัตราการเข้าพักได้ในระดับ 70-80%

ด้านโรงแรมในประเทศไทย มองว่าช่วงครึ่งปีแรกยังพึ่งพากลุ่มนักท่องเที่ยวในประเทศเป็นหลัก โดยคาดว่าลูกค้าต่างชาติจะกลับเข้ามาได้ในช่วงครึ่งปีหลัง โดยลูกค้าเอเชียเข้ามาช่วงไตรมาส 3 และกลุ่มยุโรปเข้ามาไตรมาส 4

นางสาวศมิษฐา กล่าวว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานช่วงไตรมาส 1/65 คาดว่ารายได้จะเติบโต 3 เท่า จากช่วงเดียวกันปีก่อน หลังจากสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายลง ทำให้ดีมานด์ฟื้นตัวต่อเนื่อง แต่หากเทียบไตรมาส 4/64 คาดว่าจะลดลงเล็กน้อย เนื่องจากโรงแรมในกลุ่ม UK, มอริเชียส และหมู่เกาะฟิจิ เข้าสู่ช่วงโลซีซั่น

ขณะเดียวกันบริษัทยืนยันว่าไม่ได้รับกระทบมากนักต่อกรณีความขัดแย้งในรัสเซีย-ยูเครน เนื่องด้วยลูกค้าส่วนใหญ่จากทั้ง 2 ประเทศจะเข้าพักในโซนมัลดีฟส์ ซึ่งเมื่อเริ่มมีประเด็นสงครามกลุ่มนักท่องเที่ยวดังกล่าวเริ่มยกเลิกบางส่วน แต่บริษัทสามารถขายห้องให้กลุ่มนักท่องเที่ยวชาติอื่นทดแทนได้ หลักๆ เป็นลูกค้ากลุ่ม UK และสหรัฐฯ ซึ่งกลุ่มดังกล่าวนี้มีอัตราการเข้าพักมากกว่ากลุ่มที่ถูกยกเลิกไป

โดยบริษัทยังตั้งเป้าหมาย ADR จะเติบโตขึ้นประมาณ 10-20% ตามการเพิ่มประสิทธิภาพและผลตอบแทนของโรงแรมในพอร์ต ด้วยการปรับปรุงโรงแรมที่มีศักยภาพในการเติบโต โดยเฉพาะโรงแรมในสหราชอาณาจักร เพื่อปรับเพิ่มอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยให้สูงขึ้น เพื่อความสามารถในการทำกำไรที่ดียิ่งขึ้น ซึ่งเบื้องต้นบริษัทเชื่อว่าในอนาคตมาร์จิ้นจะปรับตัวสูงขึ้นอยู่ในระดับ 20-25%

Back to top button