“กสิกรไทย” หั่น GDP ไทยปี 65 เหลือ 2.5-2.9% ผลกระทบรัสเซีย-ยูเครน ดันเงินเฟ้อ-ต้นทุนพุ่ง
“ศูนย์วิจัยกสิกรไทย” ปรับลดประมาณการ GDP ไทยปี 65 เหลือ 2.5-2.9% จากเดิมคาดไว้ 3.7% รับผลกระทบรัสเซีย-ยูเครน ดันเงินเฟ้อปรับตัวขึ้นคาดแตะ 3.8% จากเดิมคาดไว้ที่ 2.1%-ต้นทุนพุ่ง หลังราคาน้ำมันยังอยู่ในระดับสูง
ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ปรับลดประมาณการทางเศรษฐกิจเนื่องจากผลกระทบจากวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน โดยปรับอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในปี 65 ลดลงเหลือ 2.9% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 3.7% และปรับคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อเพิ่มเป็น 3.8% จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ที่ 2.1% ภายใต้สมมุติฐานสถานการณ์รัสเซีย-ยูเครนสามารถเจรจาได้ข้อยุติภายในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 90 ดอลลาร์/บาร์เรล และประเทศตะวันตกมีมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียตลอดทั้งปี หากสถานการณ์เลวร้ายกว่านั้น แต่การสู้รบยังจำกัดอยู่ในบางพื้นที่ของประเทศยูเครน และการเจรจายังมีความเป็นไปได้ ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยอยู่ที่ 105 ดอลลาร์/บาร์เรล และประเทศตะวันตกมีมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียตลอดทั้งปี จีดีพีจะลดลงไปอยู่ที่ 2.5% และอัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นเป็น 4.5%
ทั้งนี้ผลกระทบที่เกิดขึ้นข้างต้น จะส่งผ่านเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก ท่ามกลางการที่ภาครัฐมีมาตรการตรึงราคาขายปลีกน้ำมันดีเซลที่ 30 บาทต่อลิตร ไปจนถึงสิ้นเดือนเม.ย. 65 ส่งผลให้ในบางช่วงของปีหลังจากนั้นราคาน้ำมันดีเซลอาจจะขยับขึ้นเกิน 30 บาทต่อลิตรหากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกเพิ่มสูงขึ้น
“ปีที่แล้วเราก็ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะมีความเสี่ยงเรื่องอัตราเงินเฟ้ออยู่แล้ว แต่ประเด็นเรื่องวิกฤตรัสเซีย-ยูเครนมาเร่งให้มีผลต่อเศรษฐกิจไทยเร็วขึ้น” น.ส.ณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย กล่าว
ขณะที่มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียของประเทศตะวันตกส่งผลกระทบต่อกำลังการผลิตน้ำมันในตลาดโลกให้หายไป 1.5-2 ล้านบาร์เรล/วัน เนื่องจากรัสเซียเป็นผู้ผลิตน้ำมันอันดับ 3 ของโลก แต่เป็นผู้ส่งออกน้ำมันอันดับ 1 ของโลก ขณะที่กลุ่มโอเปกยังไม่ส่งสัญญาณที่จะเพิ่มกำลังการผลิต
นอกจากนี้ยังเกิดผลกระทบต่อตลาดอาหารโลก เนื่องจากทั้งรัสเซีย-ยูเครนเป็นผู้ผลิตข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ข้าวโพด และน้ำมันดอกทานตะวันรายใหญ่ของโลก รวมถึงเป็นแห่งผลิตสินแร่สำคัญที่ใช้ในอุตสาหกรรมอิเลคทรอกนิกส์ เพื่อผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่ใช้ในการผลิตรถยนต์ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ ยิ่งเป็นการซ้ำเติมปัญหาคอขวดในห่วงโซ่การผลิตที่เกิดจากวิกฤตโควิด-19 เข้าไปอีก
สำหรับวิกฤตรัสเซีย-ยูเครนจะส่งผลกระทบต่อทิศทางเศรษฐกิจไทยใน 3 ด้าน คือ อำนาจการใช้จ่ายของครัวเรือนลดลง การส่งออกลดลงตามภาวะเศรษฐกิจที่ซึมลง และการชะลอตัวด้านการท่องเที่ยว
ส่วนนโยบายการเงินยังคาดว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)จะยังคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.50% แต่การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) สังสัญญาณที่จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยในปีนี้มากกว่า 6 ครั้ง และอัตราเงินเฟ้อของไทยปรับตัวสูงขึ้นที่มีผลต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนต่างประเทศจะเป็นแรงกดดันต่อ กนง.ให้ต้องพิจารณาเป็นรอบๆ ไป
โดยน.ส.เกวลิน หวังพิชญสุข รองกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า วิกฤตครั้งนี้ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมของไทยมีต้นทุนการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 8 หมื่นล้านบาท เนื่องจากราคาวัตถุดิบและราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น หรือขาดแคลนวัตถุดิบจนต้องชะลอการผลิต ซึ่งภาคธุรต้องแบกรับไว้ และอาจส่งต่อการปรับราคาสินค้าหรือกำไรลดลง แต่ยังไม่ถึงกับมีปัญหาเลิกจ้าง
“ผลกระทบที่มีต่ออุตสาหกรรมแต่ละด้านมีความแตกต่างกัน ผันแปรไปตามสัดส่วนของต้นทุนและความสามารถในการปรับตัว” น.ส.เกวลิน กล่าว
ขณะที่การท่องเที่ยวก็ได้รับผลกระทบผ่านการลดลงของจำนวนนักท่องเที่ยวรัสเซียและยุโรป แม้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเที่ยวไทยรวมในปี 2565 อาจแตะ 4 ล้านคน แต่การใช้จ่ายจะลดลงราว 5 หมื่นล้านบาทจากกรณีที่ไม่มีสงคราม แต่แนวโน้มนักท่องเที่ยวต่างชาติยังให้ความสนใจที่จะเดินทางมาไทย ซึ่งจะทดแทนจากตะวันออกกลางและเอเชียใต้
นอกจากนี้ภาคการบริการอื่นๆ ก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน ไม่เพียงแต่ต้นทุนที่ขยับขึ้น ค่าครองชีพที่สูงขึ้นของผู้บริโภค ยังวนกลับมากดดันยอดขายภาคธุรกิจอีกด้วย ทำให้ในภาพรวมแล้วประเมินตัวเลขการขยายตัวของธุรกิจในกลุ่มรถยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ ค้าปลีก และร้านอาหารน้อยลงจากกรณีไม่มีสงคราม
ด้าน น.ส.ธัญญลักษณ์ วัชระชัยสุรพล รองกรรมการผู้จัดการ กล่าวว่า แม้การคว่ำบาตรทางการเงินของประเทศมหาอำนาจในโลกต่อรัสเซียจะมีผลกระทบทางตรงที่จำกัดตามปริมาณการค้าระหว่างรัสเซีย-ยูเครนกับไทย แต่จุดติดตามอยู่ที่สถานการณ์ยังไม่นิ่ง ซึ่งจะทำให้การเคลื่อนไหวของตลาดการเงินผันผวนต่อเนื่อง และต้นทุนการระดมทุนมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น ทั้งจากความไม่แน่นอนที่ยังอยู่และการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด โดยภายในปี 2565 จะมีตราสารหนี้ภาคเอกชนที่รอครบกำหนดอีกกว่า 7 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ลูกค้าที่อยู่ในกลุ่มธุรกิจที่ได้รับผลกระทบมากคงต้องได้รับการดูแลเพิ่มเติมในแง่ของวงเงินสินเชื่อหมุนเวียนเพิ่มเติมในรายที่ยังประคองคำสั่งซื้อไว้ได้ รวมถึงประเด็นปรับโครงสร้างหนี้และคุณภาพหนี้ ซึ่งรวมแล้วสินเชื่อธุรกิจที่อยู่ในกลุ่มที่ได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญจากต้นทุนน้ำมันและวัตถุดิบอาหารที่เพิ่มขึ้นจะมีสัดส่วนประมาณ 4-5% ของพอร์ตสินเชื่อรวม ขณะที่ประเมินภาพสินเชื่อของระบบธนาคารพาณิชย์ไทยทั้งปีนี้ที่ 4.5% ในกรณีฐาน
“ผลกระทบทางตรงกับไทยมีไม่มาก เพราะธุรกรรมการค้าระหว่างไทย-รัสเซีย-ยูเครนมีเพียง 0.6% เท่านั้น แต่จะมีผลกระทบทางอ้อมที่ตลาดการเงินมีความผันผวน และเงินเฟ้อพุ่งขึ้น” น.ส.ธัญญลักษณ์ กล่าว