JDF เคาะราคา IPO ขาย 2.60 บ. เปิดจอง 29-31 มี.ค. ลุยเทรด “SET” 7 เม.ย.นี้

“เจดีฟู้ด” หรือ JDF เคาะราคา IPO ขาย 2.60 บ. เปิดจอง 29-31 มี.ค.65 ลุยเทรด SET วันที่ 7 เม.ย.65 แต่งตั้ง “บล.โกลเบล็ก” เป็นผู้จัดการการเสนอขาย พร้อมด้วย 5 โบรกเกอร์ชั้นนำ ย้ำพื้นฐานแกร่ง อนาคตโต


นายกิตติพันธ์ ภูษณวรรณ กรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่จะเสนอขายแก่ประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ของบริษัท เจดีฟู้ด จำกัด (มหาชน) หรือ JDF เปิดเผยว่า JDF กำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 150 ล้านหุ้น ที่ราคา 2.60 บาท/หุ้น เปิดให้จองซื้อในวันที่ 29 – 31 มีนาคม 2565  และคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) วันที่ 7 เมษายน 2565 ในหมวดเกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร / อาหารและเครื่องดื่ม ในชื่อย่อหลักทรัพย์ว่า JDF

สำหรับราคาหุ้นสามัญที่เสนอขายหุ้นละ 2.60 บาท ถือเป็นระดับราคาที่เหมาะสม คิดเป็นอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E) เท่ากับ 25.78 เท่า โดยคำนวณกำไรสุทธิต่อหุ้นจากผลการดำเนินงานในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด (ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2564)

ล่าสุด JDF ได้ลงนามแต่งตั้ง บริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย พร้อมด้วยผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายอีก 5 แห่ง คือ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน), บริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด

ส่วนนางสาวรัตนา เอี้ยประเสริฐศักดิ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร JDF กล่าวถึงวัตถุประสงค์ในการนำเงินที่ได้จากการเสนอขายหลักทรัพย์ครั้งนี้ เพื่อลงทุนในการวิจัยและพัฒนารวมถึงเครื่องจักรของกลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ที่มีอัตราการเติบโตสูง ขยายช่องทางตลาดไปยังต่างประเทศ ทั้งประเทศในกลุ่ม CLMV ประเทศจีนตอนใต้และประเทศอินเดีย และลงทุนในระบบเทคโนโลยีและระบบกึ่งอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและขยายกำลังการผลิต พัฒนาระบบการเชื่อมโยงด้านข้อมูล เพื่อรองรับการขยายกำลังการผลิตและยอดขายที่เพิ่มมากขึ้น รวมทั้งใช้ชำระคืนเงินกู้ให้กับสถาบันการเงิน โดยระยะเวลาในการใช้เงินปี 2565-2567

โดยบริษัทฯ วางกลยุทธ์มุ่งสู่การเป็นผู้นำในการผลิตเครื่องปรุงรสและอาหารแปรรูปที่มุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาเป็นหัวใจสำคัญและสร้างระบบนิเวศนวัตกรรมอาหารอย่างยั่งยืน เพื่อเติบโตในระดับโลก โดยในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีการลงทุนในการสร้างโรงงานใหม่บนพื้นที่กว่า 33 ไร่ ที่จังหวัดสมุทรสาคร เพิ่มกำลังการผลิตเครื่องปรุงรสกว่า 75% จากกำลังการผลิตของโรงงานเดิม

สำหรับการเข้าจดทะเบียนใน SET ครั้งนี้ สนับสนุนให้  JDF เพิ่มศักยภาพ ความสามารถในการแข่งขัน และความพร้อมในการเติบโต โดยแผนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ในอนาคต บริษัทฯ ยังคงมุ่งเน้นการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหารใหม่สำหรับตลาดอาหารเพื่อสุขภาพซึ่งมีอัตราการเติบโตสูง รองรับความต้องการของผู้บริโภคในปัจจุบันและอนาคตที่ให้ความสำคัญกับอาหารเพื่อสุขภาพมากยิ่งขึ้น เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ขนมขบเคี้ยวเพื่อสุขภาพ (Healthy Snack) โปรตีนหรือผักผลไม้อบกรอบ และผลิตภัณฑ์ที่ทำจากพืช (Plant-Based) โดยบริษัทฯ คาดว่าการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ข้างต้นจะก่อให้เกิดรายได้เชิงพาณิชย์ตั้งแต่ปี 2566 และบริษัทตั้งเป้าเป็นหุ้นที่มีการเติบโตควบคู่กับการคืนผลตอบแทนแก่นักลงทุน

ด้านนายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า ความน่าสนใจของ JDF ซึ่งเป็นหุ้นด้านนวัตกรรมอาหารน้องใหม่ที่มีจุดแข็งด้านประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในตลาดเครื่องปรุงรสมายาวนาน เป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้แก่ลูกค้าในอุตสาหกรรมอาหารและร้านอาหารยักษ์ใหญ่มากมาย กระบวนการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ทำให้ผลิตภัณฑ์มีเอกลักษณ์เฉพาะ สามารถช่วยลูกค้าในการพัฒนาหรือปรับเปลี่ยนสูตรอาหารให้ตรงตามความต้องการ โดยพัฒนามาแล้วกว่า 2,000 รสชาติ ให้ลูกค้ากว่า 300 ราย อีกทั้งยังมีผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์ของ JDF เอง

นอกจากนี้ในปีที่ผ่านมา JDF มีโรงงานแห่งใหม่ที่มีมาตรฐานรับรองคุณภาพในระดับสากล สามารถเพิ่มกำลังการผลิตพร้อมรองรับโอกาสการเติบโตในยุค New Normal เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเครื่องปรุงรสและอาหารแปรรูประดับประเทศซึ่งเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางทั่วโลก การเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยในครั้งนี้ เป็นการสนับสนุนในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันเพื่อการตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าและผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งบริษัทฯ มีแผนขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศและลงทุนในระบบเทคโนโลยีและเครื่องจักรเพิ่ม เพื่อรองรับโอกาสเติบโตในอนาคต

ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานปี 2564 มีรายได้จากการขายและบริการ 576.92 ล้านบาท กำไรสุทธิอยู่ที่ 45.39 ล้านบาท มีอัตรากำไรขั้นต้น 29.49% อัตราส่วนกำไรสุทธิ 7.75% คาดหลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเพิ่มโอกาสการเติบโตได้อย่างมีนัยสำคัญ เพื่อเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมเครื่องปรุงรสและอาหารแปรรูปด้วยจุดเด่นที่เหนือกว่าในด้านนวัตกรรมอาหารและการพัฒนาผลิตภัณฑ์

Back to top button