โบรกเชียร์ “ซื้อ” JMT อัพเป้า 103 บ. ชี้ทุกเงินลงทุน JV หมื่นล้าน เพิ่มกำไร 225 ลบ.ต่อปี

โบรกเชียร์ “ซื้อ” JMT อัพเป้า 103 บ. ชี้ทุกเงินลงทุน JV หมื่นล้าน เพิ่มกำไร 225 ลบ.ต่อปี คาดกำไรปี 65 แตะ 2.3 พันลบ. ส่วนปี 66 อยู่ที่ 3.4 พันลบ. ตอกย้ำภาพของหุ้นที่อยู่ Growth stage


บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (29 มี.ค.65) โดยประเมิน บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ว่าหลังจากปี 2564 ที่ผ่านมา บริษัททำกำไรสถิติใหม่ที่ 1,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แม้เผชิญกับการ lockdown และการเพิ่มทุนในช่วงปลายปีเพื่อเตรียมรุกในช่วงที่มีหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในระบบเป็นขาขึ้น

โดยผู้บริหารตั้งเป้าขยายพอร์ตหนี้ฯด้วยงบลงทุนไม่ต่ำกว่าปีก่อนที่ 10,000 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับที่ทางฝ่ายวิจัยประเมินไว้ ซึ่งไม่รวมส่วนเพิ่มจากกการทำ JV  ขณะที่ยอดเก็บเงินสด 5,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน (ค่อนข้างอนุรักษ์นิยม vs ทางฝ่ายวิจัยประเมินไว้ 6,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 31% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน)

ทั้งนี้เบื้องต้นประเมินกำไรไตรมาส 1 ปี 2565 อยู่ที่ 430 ล้านบาท ลดลง 10% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่จะเพิ่มขึ้น 52% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน คิดเป็น 0% ของประมาณกำไรปี 2565 ถือเป็นจุดต่ำสุดของปีก่อนจะขยายตัวตามพอร์ตหนี้ฯเก่าและใหม่

จากข้อมูลงบการเงิน ณ สิ้นปีที่ผ่านมา KBANK มีหนี้เสีย คิดเป็นมูลหนี้ราว 1 แสนล้านบาท โดยยังไม่รวมหนี้ที่ถูกกล่าวถึงเป็นพิเศษ (SML หรือ Stage 1-2) ที่อาจไหลมาเป็น หนี้เสียอีกเกือบเท่าตัว ตามที่ S&P Ratings ประเมินการเร่งโอนหนี้เสียเข้า JV จะเป็นรูปแบบที่ win-win ที่กำลังจะเกิดขึ้นในไตรมาส 2 ปี 2565 และรับรู้กำไรในไตรมาส 3 ปี 2565 ที่พร้อมจะทำ All time high โดยประเมินทุกเงินลงทุนใน JV จำนวน 10,000 ล้านบาท จะสร้าง Upside risk ต่อกำไรตามสัดส่วน 50% ราว 225 ล้านบาทต่อปี หรือ เพิ่มขึ้น 7% บนฐานกำไรปี 2566 (เพิ่มขึ้น 6.43 บาท/หุ้น อิง P/E 40 เท่า) ทั้งนี้หากโมเดลข้างต้นสำเร็จจะเป็นตัวอย่างให้กับธนาคารพาณิชย์อื่นในครึ่งหลังของปี 2565 ที่อยู่นอกเหนือประมาณการของทางฝ่ายวิจัย

โดยมีการประเมินกำไรสุทธิปี 2565 อยู่ที่ 2,324 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 66% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่วนปี 2566 อยู่ที่ 3,465 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 49% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ตอกย้ำภาพของหุ้นที่อยู่ Growth stage ยังคงชัดเจน แม้ราคาหุ้นจะปรับตัวขึ้นมาอยู่บน P/E ปี 65 ที่ 40 เท่า  ณ ระดับ +2SD ทว่าเมื่อรวม Upside risk จาก JV ส่งผลต่อความเชื่อมั่นต่อกำไรที่จะเพิ่มขึ้นใน 12-18 เดือนข้างหน้า รวมถึงความสม่ำเสมอบนกระแสเงินสดจากฐานลูกหนี้ที่ทนทานต่อปัจจัยลบภายนอกได้ ทำให้ราคาจะสามารถยืนสูงได้ต่อ

ดังนั้นทางฝ่ายวิจัยปรับใช้ราคาเหมาะสมปี 2566 เป็น 103 บาท/หุ้น อิง P/E 40 เท่า ในปี 2566 สะท้อน PEG 0.93 เท่า บนการเติบโตค่าเฉลี่ยในปี 2564-2566 เพิ่มขึ้น 43% ต่อปี

Back to top button