“วิจัยกรุงศรี” หั่น GDP ปีนี้เหลือโต 2.8% หวั่นสงคราม “ยูเครน-รัสเซีย” ยืดเยื้อกระทบศก.
“ศูนย์วิจัยกรุงศรี" หั่น GDP เหลือ 2.8% หวั่นสงครามยูเครนฉุดเศรษฐกิจ ส่งผลต่อปริมาณการส่งออกของไทยลดลง 3.0% และ จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้ปรับลดลงเหลือ 5.5 ล้านคน
วิจัยกรุงศรี เปิดเผยว่า แม้ภาคส่งออกและท่องเที่ยวเดือน ก.พ. 2565 ปรับดีขึ้น แต่ในระยะถัดไปอาจต้องเผชิญผลกระทบจากวิกฤตยูเครน โดยล่าสุดได้ปรับลดคาดการณ์ GDP ปีนี้ลงเหลือ 2.8% จากเดิมคาด 3.7% จากการสู้รบในยูเครนอาจยืดเยื้อไปจนถึงไตรมาสที่ 2 ซึ่งชาติตะวันตกดำเนินมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียรุนแรงขึ้น ยกเว้นกลุ่มพลังงาน รวมถึงปรับลดมูลค่าการส่งออกปีนี้เหลือโต 2.6% จากเดิมคาด 5% และจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ อยู่ที่ 5.5 ล้านคน จากเดิมคาด 7.5 ล้านคน
ทั้งนี้ มูลค่าการส่งออกเดือนก.พ. อยู่ที่ 23.48 พันล้านดอลาร์ ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 12 ที่ 16.2% เทียบกับเดือนม.ค. อยู่ที่ 21.26 พันล้านดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 8.0% ปัจจัยหนุนจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าหลักทั่วโลก อยู่ในทิศทางการฟื้นตัวต่อเนื่องในช่วงต้นปี เช่นเดียวกับภาคท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้าไทยในเดือนก.พ. มีจำนวน 152,954 คน จาก 133,903 คน ในเดือนก่อน นำโดยนักท่องเที่ยวรัสเซีย เยอรมนี และฝรั่งเศส
สำหรับ ในช่วงต้นปี เดือน ม.ค.-ก.พ. เครื่องชี้เศรษฐกิจด้านต่างประเทศของไทย มีสัญญาณเชิงบวกทั้งภาคส่งออกและภาคท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ในระยะถัดไปยังมีปัจจัยลบ จากผลกระทบของการสู้รบระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ปะทุขึ้นตั้งแต่ปลายเดือนก.พ. และมีความเสี่ยงจะยืดเยื้อไปถึงไตรมาสที่ 2
อย่างไรก็ดี แม้ผลกระทบทางตรงต่อการส่งออกของไทยอยู่ในวงจำกัด เนื่องจากการส่งออกไปรัสเซียและยูเครนคิดเป็นเพียง 0.38% และ 0.05% ของการส่งออกทั้งหมดของไทยในปี 2564 ตามลำดับ แต่ผลกระทบทางอ้อมค่อนข้างมีนัยสำคัญ
1.ต้นทุนการผลิตและการขนส่งเพิ่มสูงขึ้นตามราคาพลังงานและสินค้าโภคภัณฑ์โลกที่พุ่งขึ้น
2.มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียอาจกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานในหลายอุตสาหกรรม เนื่องจากรัสเซียเป็นผู้ส่งออกวัตถุดิบสำคัญรายใหญ่
3.ผลเชิงลบต่อรายได้และการเติบโตทางเศรษฐกิจทั่วโลก โดยเฉพาะในยุโรปที่เป็นตลาดหลักของการส่งออกและท่องเที่ยวของไทย
โดยล่าสุดวิจัยกรุงศรี ประเมินในกรณีฐานการสู้รบในยูเครน จะส่งผลกระทบต่อปริมาณการส่งออกของไทยลดลง 3.0% แต่คาดว่าจะได้อานิสงส์จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับสูงขึ้น จึงปรับลดคาดการณ์มูลค่าการส่งออก ในรูปดอลลาร์ ในปีนี้เติบโตที่ 2.6% จากเดิมคาดขยายตัว 5.0% ส่วนจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้ปรับลดลงเหลือ 5.5 ล้านคน จากเดิมคาด 7.5 ล้านคน
สำหรับมาตรการบรรเทาผลกระทบจากวิกฤตพลังงานวงเงินกว่า 8 หมื่นล้านบาท ทางการคาด GDP ยังเติบโตได้ที่ 3% ล่าสุดรัฐบาลอนุมัติ 10 มาตรการลดภาระค่าครองชีพช่วยเหลือประชาชน เป็นมาตรการระยะสั้น 3 เดือน คาดจะเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่เดือน พ.ค.-ก.ค. 2565
ทั้งนี้ รัฐบาลระบุวงเงินที่ใช้สำหรับดำเนินมาตรการข้างต้นรวมทั้งสิ้น 80,247 ล้านบาท แบ่งเป็น กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง (เงินกู้) วงเงิน 39,520 ล้านบาท, กองทุนประกันสังคม (ปรับลดเงินสมทบ) วงเงิน 35,224 ล้านบาท, งบกลางจากงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2565 วงเงิน 3,740 ล้านบาท และ บมจ.ปตท. (PTT) วงเงิน 1,763 ล้านบาท
อย่างไรก็ดี ทางการดำเนินมาตรการระยะสั้น เพื่อช่วยลดภาระค่าครองชีพให้แก่ประชาชน (ราว 40 ล้านคน) ภายใต้การประเมินสถานการณ์ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครนเบื้องต้นอาจนาน 3 เดือน ผลกระทบจากราคาน้ำมันในตลาดโลกที่เพิ่มสูงขึ้น จะส่งผลต่อ GDP และอัตราเงินเฟ้อ เป็น 3 กรณี คือ
1.ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ย 100 ดอลลาร์/บาร์เรล ราคาดีเซลเฉลี่ย 33 บาท/ลิตร อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 5.0% GDP โต 3.5%
2.ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ย 125 ดอลลาร์/บาร์เรล ราคาดีเซลเฉลี่ย 40 บาท/ลิตร อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 6.2% GDP โต 3.2%
3.ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ย 150 ดอลลาร์/บาร์เรล ราคาดีเซลเฉลี่ย 46 บาท/ลิตร อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 7.2% GDP โต 3.0%