“บล.ทรีนีตี้” ชี้ SET เม.ย. ไซด์เวย์! แนะ 10 หุ้น “กลาง-เล็ก” พื้นฐานแกร่ง-มีอัพไซด์
"บล.ทรีนีตี้" ชี้ดัชนีเดือนเม.ย.65 "ไซด์เวย์" ขาดปัจจัยใหม่เข้ามากระตุ้นตลาด แนะใช้กลยุทธ์ “ตั้งรับ” พร้อมติดตาม 5 ประเด็นขับเคลื่อนตลาด คัด 10 หุ้นพื้นฐานแกร่ง-มีอัพไซด์
นายณัฐชาต เมฆมาสิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด เปิดเผยถึงทิศทางการลงทุนเดือนเม.ย.2565 ซึ่งเป็นเดือนแรกของงวดไตรมาส 2/2565 คาดว่าดัชนีมีแนวโน้มแกว่งตัว Sideways ถึง Sideways down จากการขาดปัจจัยใหม่เข้ามากระตุ้นตลาด และยังต้องติดตาม 5 ประเด็นสำคัญที่จะส่งผลต่อการลงทุนในเดือนนี้ ดังนั้นจึงแนะนำให้ใช้กลยุทธ์ “ตั้งรับ” มองจุดเพิ่มน้ำหนักที่น่าสนใจได้แก่ 1,630 จุด ซึ่งจะเป็นบริเวณที่ทำให้ดัชนีกลับมามี Upside ในมาตรการวัด Earning yield gap (EYG) อีกครั้ง
นอกจากนี้คาดการณ์ภาวะ Flattening yield curve มีโอกาสดำเนินได้ต่อไป จากตัวเลขเงินเฟ้อเดือนนี้ที่น่าจะถีบตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งจะทำให้หุ้นกลุ่มเติบโต (Growth) สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นกลุ่มมูลค่า (Value) นอกจากนั้น แนะนำให้ลงทุนหุ้นเติบโตขนาดกลางและเล็กที่ยังได้ประโยชน์ทางอ้อม จากการระมัดระวังการใช้จ่ายของผู้คนมากขึ้น สะท้อนได้จากปริมาณเงินในระบบ M2 ที่ขยายตัวสูงสุดในรอบเกือบ 1 ปี
“โดยสถานการณ์ M2 ของไทยขยายตัวสูงสุดในรอบเกือบ 1 ปี เป็นภาพที่คล้ายกับช่วงไตรมาส 2/2563 ที่ขณะนั้นหุ้นขนาดกลางและเล็กยังคงคึกคัก ทั้งในแง่ของสภาพคล่องและการขยับขึ้นของราคาหุ้น” นายณัฐชาต กล่าว
สำหรับหุ้นขนาดกลางและเล็ก ที่มีอัตราการเติบโตน่าสนใจ และมี Upside จากราคาเป้าหมายเชิงพื้นฐาน 10 ตัว ประกอบด้วย SA, TSR, SIMAT, IP, SVOA, IT, SUN, CHAYO, LEO และ AMR มองนักลงทุนสามารถจัดพอร์ตกระจายความเสี่ยงไปยังหุ้นทั้ง 10 ตัวนี้ได้ ซึ่งคาดว่าจะสามารถปรับตัว Outperform ตลาดและหุ้นขนาดใหญ่ได้ในช่วง 3 เดือนข้างหน้านี้
ส่วนในฝั่งของหุ้นขนาดใหญ่นั้น หากต้องเลือกลงทุน มองว่ากลุ่มหุ้นที่ปลอดภัยได้แก่ กลุ่มโรงพยาบาล ซึ่งราคาหุ้นช่วงที่ผ่านมาย่อตัวลงจนลดความร้อนแรงไปบ้างแล้ว นอกจากนั้นคาดว่าจะเริ่มเห็นนักวิเคราะห์ในตลาดทยอยออกมาประเมินผลการดำเนินงานไตรมาส 1/2565 ในเชิงบวก ที่สำคัญมักเป็นกลุ่มที่ทนทานต่อแรงกดดันเงินเฟ้อในระดับสูง โดยเลือก BDMS, BCH, CHG, IMH เป็น Top pick ของกลุ่มต่อไป
สำหรับ 5 ปัจจัยสำคัญในเดือนนี้ที่นักลงทุนต้องติดตาม ได้แก่
1.พัฒนาการความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน รวมถึงการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจของชาติตะวันตก ที่จะส่งผลต่อคาดการณ์เงินเฟ้อในอนาคต และการ Price in มาตรการ Tightening ของธนาคารกลางต่างๆ
2.พัฒนาการของความชัน Yield curve หลังล่าสุด 2s10s spread ของสหรัฐฯ ลดต่ำลงสู่ระดับใกล้ 0% และของไทยทำจุดต่ำสุดใหม่ของปี
3.รายงานตัวเลข PMI ภาคการผลิตทั่วโลกประจำเดือนมีนาคมที่น่าจะออกมาอ่อนแอ โดยเฉพาะจีน ที่ล่าสุดประกาศออกมาต่ำกว่าระดับ 50 จุดเป็นครั้งแรกในรอบ 5 เดือนแล้ว
4.รายงานตัวเลขเงินเฟ้อของไทยและสหรัฐอเมริกา ประจำเดือนมีนาคมที่มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นอย่างสำคัญ จากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่สูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้การจับจ่ายใช้สอยของผู้คนปรับตัวลดลงในช่วงถัดไป
5.การเผยแพร่รายงานการประชุม Fed รอบที่ผ่านมา (FOMC Minutes) โดยจะต้องติดตามดูว่าคณะกรรมการมีความเห็นอย่างไรต่อประเด็นการลดขนาดงบดุล