BRI ลุ้นกำไร Q1 แตะ 320 ลบ. รับพรีเซลล์ทะลัก 2.4 พันลบ. ลุย JV หนุนทั้งปีโตแกร่ง
โบรกคาด BRI ไตรมาส 1 กำไรแตะ 320 ลบ. หลังยอดพรีเซลทะลัก 2.4 พันลบ. เดินหน้าลุย JV 2 แห่งแรกขับเคลื่อนการเติบโต ปรับราคาเหมาะสม 14.20 บ. แนะนำ “ซื้อ”
บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ ( 5 เม.ย. 2565 ) โดยประเมิน บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI ว่า ยอด Presales ในไตรมาส 1/2565 ทำได้ตามเป้าที่วางไว้จำนวน 2.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 15% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน แม้ว่ามีแรงกดดันจากการระบาดของโรคโควิด-19 รอบใหม่ และมีเปิดโครงการใหม่เพียง 1 แห่งอย่าง Britania Ratchaphruek-Nakhon In มูลค่า 700 ล้านบาท แต่ยอด Presales ขยายตัวได้ดี เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งสะท้อนอุปสงค์แนวราบยังแข็งแกร่ง หลักๆจากการเน้นขายโครงการต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนหน้าที่เปิดตัว 9 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 4.3 พันล้านบาท
ทั้งนี้ทำให้ยอด Presales ในไตรมาส 1/2565 คิดเป็น 22% ของเป้า Presales รวมทั้งปีอยู่ที่ 1.1 หมื่นล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น31% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ขณะที่แผนเปิดในไตรมาส 2/2565 เพิ่มขึ้น 1 แห่งอย่าง Britania Amata-Phanthong มูลค่า 2 พันล้านบาท และจะกระจุกตัวในครึ่งปีหลังของปีนี้ คิดเป็น 80% ของแผนทั้งปี เป็นจำนวน 10 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 1.1 หมื่นล้านบาท คาดเป็นแรงสนับสนุนให้โมเมนตัมยอด Presales ขยับขึ้นดีต่อเนื่องทุกไตรมาส
ส่วนกรณี BRI ประกาศร่วมทุน JV กับ บริษัท โนมูระ เรียลเอสเตท ดีเวลล็อปเมนท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จากประเทศญี่ปุ่น (พันธมิตรกับ ORI) ในสัดส่วนถือหุ้น BRI 51% และ Nomura 49% เพื่อพัฒนาโครงการแนวราบ 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 2.6 พันล้านบาท คือ Britania Home Bangna KM.17 มูลค่า 1.5 พันล้านบาท และ Britania Town Bangna KM.17 มูลค่า 1.1 พันล้านบาท ซึ่งมีแผนเปิดตัวในไตรมาส 3/2565 ถือว่าเป็นไปตามกลยุทธ์ที่บริษัทมีแผนพัฒนาโครงการ JV ร่วมกับพันธมิตร เพื่อเกิดการทำงานร่วมกัน จากการแลกเปลี่ยน ความรู้และทักษะ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและความเชื่อมั่นของแบรนด์รวมถึงช่วยลดความเสี่ยงและภาระการเงิน
โดยเบื้องต้นประเมินผลประกอบการไตรมาส 1/2565 เติบโตก้าวกระโดด 300-320 ล้านบาท เทียบกับไตรมาส 4/2564 อยู่ที่ 150 ล้านบาท และไตรมาส 1/2564 อยู่ที่ 131 ล้านบาท ซึ่งหนุนจากการเซ็นสัญญา โครงการ JV2 แห่งในวันที่ 25 มี.ค. 2565 ทำให้บันทึกกำไรขายเงินลงทุน JV และรายได้ค่าบริหารโครงการคาดรวม 130 ล้านบาท (One-time gain) และยอดโอน เติบโตดีคาดเพิ่มขึ้น 30% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อนหน้า และเพิ่มขึ้น 56% เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยอยู่ที่ 1.3 พันล้านบาท จากการทยอยรับรู้ Backlog ที่ยกมาจากสิ้นปีก่อนหน้า และสร้างยอดขายใหม่ที่อยู่ระดับสูง
ขณะที่ภาพช่วงที่เหลือของปียังดูดีจากยอดโอนที่มีทิศทางไต่ระดับขึ้นต่อเนื่องตามแผนการเปิดโครงการใหม่ที่กระจุกในช่วงครึ่งปีหลังของปี2565 รวมถึงต้องติดตามความคืบหน้าของ JV โครงการแนวราบเพิ่มเติมในช่วงที่เหลือของปีซึ่งบริษัทอยู่ระหว่างเจรจากับพันธมิตรอีกราว 4 โครงการ หากมีการเซ็นใหม่รับรู้กำไรส่วนเพิ่มในงบไตรมาสนั้นทันที
โดยสะท้อนการพัฒนาโครงการ JV ใหม่ 2 แห่ง ซึ่งมี One-time gain ในช่วงไตมาสที่ 1/2565 และเริ่ม ซึ่งเริ่มรับรู้ส่วนแบ่ง JV ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 – 4/2565 จึงปรับประมาณการกำไรปี 2565-2566 ขึ้น 9% และ 3% เป็น 1.2 พันล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 102% เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อน และ 1.5 พันล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 20% เมื่อเทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อน ตามลำดับ ทำให้ราคาเหมาะสมในปี 2565 เพิ่มจาก 13 บาท เป็น 14.20 บาท (อิงค่า PE เดิม 10เท่า)
อีกทั้งยังแนะนำซื้อจากความน่าสนใจทั้งฐานะ Growth Stock สะท้อนอัตราการเติบโตของผลประกอบการเด่นสุด เมื่อเทียบกับกลุ่มฯเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 14% เทียบจากงวดเดียวกันของปีก่อน รวมถึงความ แข็งแกร่งของโมเดลธุรกิจกลุ่ม ORI ถูกส่งผ่าน DNA ของ BRI ซึ่งจะชัดเจนขึ้น ต่อเนื่อง ทั้งด้านกลยุทธ์พัฒนาอสังหาฯเพื่อขาย รวมถึงมีโอกาสการขยายไปธุรกิจ Recurring Income ในอนาคต ซึ่งอาจนำไปสู่การยกระดับ Valuation ในระยะถัดไป
โดยทางฝ่ายวิจัยมองว่าพัฒนาการของธุรกิจที่เป็นรูปธรรม ซึ่งรวมถึง JV โครงการแนวราบซึ่งพบน้อยรายในตลาด บวกกับแนวโน้มผลประกอบการแข็งแกร่ง จะเป็นเครื่องพิสูจน์ผลงานที่สามารถสร้างความเชื่อมั่นและทำให้นักลงทุนให้ความสนใจหุ้นมากขึ้น ขณะที่ Upside Risk หาก JV แนวราบเพิ่มอีกในช่วงที่เหลือของปี ผลดังกล่าวข้างต้นจึงมีการปรับราคาเหมาะสมขึ้นเป็น 14.20 บาท ยังคงแนะนำ “ซื้อ”