EA ร่วง 6% วิตกข่าวลือ! โบรกยันพื้นฐานแกร่ง อัพไซด์เพียบ 39%
EA ร่วง 6% วิตกข่าวลือ! โบรกยันพื้นฐานแกร่ง รับข่าวดีสองเด้งออเดอร์บัสไฟฟ้า 3 พันคัน ทยอยส่งมอบในปี 66-67 พร้อมคาดกำไรปีนี้ทะลุ 1 หมื่นลบ. แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้า 122 บ. อัพไซด์เพียบ 39%
ผู้สื่อข่าวรายงาน วันนี้ ราคาหุ้น บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ณ เวลา 11:26 น. อยู่ที่ระดับ 88 บาท ลดลง 6.25 บาท หรือลงไป 6.63% โดยทำจุดสูงสุดที่ 92.00 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 87.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.35 พันล้านบาท
โดยเบื้องต้นสาเหตุที่ส่งผลให้ราคาหุ้น EA ปรับตัวลงติดต่อกัน 2 วันทำการราว 11.75% เกิดจากแรงเทขายของนักลงทุนที่ยังรอความชัดเจน กรณีเมื่อวันอังคารที่ผ่านมามีผู้ใช้เฟซบุ๊กรายหนึ่งโพสต์ข้อมูลความไม่ชอบมาพากลในการยักย้ายถ่ายเทเงินของ EA ไปเป็นเงินส่วนตัวของผู้บริหารบางคน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ผู้โพสต์อ้างว่าเกิดขึ้นในช่วงปี 2556 ถึง 2558 กับโครงการโซลาร์ฟาร์มและวินฟาร์ม รวมถึงการที่ผู้บริหารขายหุ้นเข้ากองทรัสต์แล้วไม่ได้แจ้งผ่าน ก.ล.ต.
อย่างไรก็ตามด้านนายสุวัฒน์ สินสาฎก กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (FSSIA) เปิดเผยว่า ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีสองเหตุการณ์สำคัญที่จะช่วยผลักดันยอดออเดอร์รถบัสไฟฟ้าของบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA และบริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX รวมถึงเสริมความแข็งแกร่งให้กับการเติบโตของกำไรจาก S-Curve ในสายธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้า (EV) และแบตเตอรี่
โดยสองเหตุการณ์สำคัญ คือ EA เข้าถือหุ้นทั้งหมดในบริษัท สมาร์ทบัส จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) หรือ BYD ชนะประมูลได้ใบรับรองรถบัส 71 สาย ผ่านบริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัด (TSB) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย
สำหรับในปัจจุบันสมาร์ทบัสฯ มีรถบัสให้บริการอยู่ 414 คัน ซึ่งคาดว่าหลังจากที่ EA เข้าซื้อกิจการสมาร์ทบัสฯ แล้วจะทำการเปลี่ยนรถทั้งหมดมาเป็นรถบัสไฟฟ้า (e-bus) ในปี 2565-2566 โดยมีแผนส่งมอบรถ 800 คัน ให้กับสมาร์ทบัสฯ คาดว่า 414 คัน จะเป็นรถ NGV-to-EV และอีกเกือบ 400 คัน จะเพิ่มเข้ามาเพื่อให้ครบจำนวนสำหรับการเดินรถทั้ง 37 สายที่สมาร์ทบัสฯ ถือใบอนุญาตอยู่
ขณะที่ BYD ชนะประมูลเมื่อวันที่ 2 เม.ย.ที่ผ่านมา จากกรมการขนส่งทางบก ในการเดินรถ 71 สายด้วยรถ e-bus จำนวนอย่างต่ำ 758 คัน และสูงสุดไม่เกิน 2,130 คัน โดยจะต้องเริ่มเดินรถ 800 คันภายใน 180 วัน ปัจจุบัน BYD เปิดให้บริการอยู่ทั้งหมด 11 สาย และเล็งเพิ่มจำนวนรถให้บริการโดยการใช้ e-bus จาก EA เพิ่มขึ้นจากเดิม 112 คัน เป็นไม่เกิน 377 คันภายในสิ้นปี 2566 ดังนั้นเชื่อว่าตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป การดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นของ TSB และสมาร์ทบัสฯ จะเป็นการปฎิวัติระบบเดินรถสาธารณะของประเทศไทย และจะช่วยทำให้ตลาด EV ของไทยเติบโต
อย่างไรก็ตามฝ่ายบริหารของทั้ง EA และ BYD คาดว่าจำนวน e-bus ที่จะขายให้กับ TSB และสมาร์ทบัสฯนั้นอยู่ที่ประมาณ 2,355 คัน และ 800 คัน ตามลำดับ ซึ่งจะช่วยเพิ่มยอดออเดอร์ให้กับบริษัท แอ๊บโซลูท แอสเซมบลี จำกัด หรือ AAB ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ EA ได้ทั้งหมด 3,155 คัน โดยคาดว่าจะส่งมอบภายในปี 2566-2567 และคาดว่าราคา e-bus ขนาดใหญ่ 12 เมตร มีราคาขายอยู่ที่ 6.8 ล้านบาทต่อคัน ซึ่งจะสร้างรายได้ให้ AAB ประมาณ 2.15 หมื่นล้านบาท จากออเดอร์รถทั้งหมด 3,155 คัน ภายในปี 2565-2567 ซึ่งเป็นการย้ำมุมมองเชิงบวกต่อความสามารถการเติบโตของกำไรของ EA และ NEX ในปี 2565-2567 จากธุรกิจ EV โดยเน้นที่ e-bus เป็นหลัก
ดังนั้นยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น EA โดยให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 122 บาท หลังจากมีออเดอร์ e-bus ที่เข้มแข็งจาก TSB และสมาร์ทบัสฯ ในปี 2565-2566 เชื่อว่าตัวเลขกำไร และยอดขายของ EA จะถึงตามเป้าที่วางไว้ โดยคาดรายได้รวมปีนี้ของ EA จะอยู่ที่ 33,947 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 10,650 ล้านบาท
ขณะที่ปี 2566 คาดรายได้อยู่ที่ 49,993 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 13,543 ล้านบาท เทียบกับปี 2564 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 20,174 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 6,100 ล้านบาท มาจากยอดขาย e-truck และ e-bus จากความต้องการซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจากการที่ผู้บริโภคต้องการจับจ่ายใช้สอยหลังจากที่หยุดหรือลดการใช้จ่ายในช่วงก่อนหน้านี้ และรวมถึงรถยนต์ส่วนบุคคลที่ยังรอมาตรการเพิ่มเติมจากภาครัฐด้วยเช่นกัน
นอกจากนี้ยังเชื่อว่าโซลาร์ฟาร์มของ EA จะเป็นกุญแจสำคัญต่อการเติบโตของกำไรจากมาร์จิ้นส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้าสูงอยู่ที่ 6.5 บาทต่อหน่วย รวมทั้งต้นทุนแผงโซลาร์ที่ลดลง 40% ตั้งแต่ปี 2553 ซึ่ง EA จะได้รับประโยชน์จากอัตราค่าไฟฟ้าที่มีกำไรสูงและต้นทุนแผงโซลาร์เซลล์ที่ลดลง