SCBS เคาะเป้าดัชนีปีนี้ 1,660 จุด แนะ 5 หุ้นเด่น ไม่หวั่นน้ำมันแพง-เงินเฟ้อพุ่ง

SCBS เคาะเป้าดัชนีปีนี้ 1,660 จุด แนะ 5 หุ้นเด่น ได้แก่ AOT, BDMS, CRC, GULF และ PTTEP สามารถรับมือกับราคาน้ำมันและเงินเฟ้อสูงได้ดี


นายสุกิจ อุดมศิริกุล กรรมการผู้จัดการ Chief Research Officer บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS) เปิดเผยว่า ต้นทุนพลังงานที่พุ่งสูงขึ้นส่งผลทำให้มีการปรับเปลี่ยนมาใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น มีการปรับลดคาดการณ์การเติบโตลงและทำให้เส้นทางการเติบโตทางเศรษฐกิจมีความไม่แน่นอนมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลทำให้วัฏจักรเศรษฐกิจเปลี่ยนจากภาวะ Reflation เข้าสู่ ภาวะ Stagflation

อย่างไรก็ตามแม้ว่าโอกาสเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในปี 2565 จะมีมากขึ้น แต่จะเกิดภาวะถดถอยที่ไม่รุนแรงเนื่องจากเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันไม่ได้มีความไม่สมดุลมากจนต้องแก้ไขให้เกิดความสมดุล ควบคู่ไปกับการผ่อนคลายข้อจำกัดการเดินทางและการเปิดประเทศ

ทั้งนี้ SCBS ให้เป้า SET Index ปี 2565 อิงกับปัจจัยพื้นฐานอยู่ที่ 1,660 จุด เข้าซื้อที่ 1,550 – 1,600 จุด ขณะที่ระดับขายทำกำไรอยู่ที่สูงกว่า 1,780 จุด โดยคาดว่า SET จะปรับฐานเล็กน้อยในปีนี้เพื่อซึมซับความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ Stagflation ส่วนในช่วงครึ่งปีหลัง 2565 จะมีโมเมนตั้มที่ดีขึ้น ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากการเปิดประเทศและการฟื้นตัวหลัง COVID-19 คลี่คลาย ประกอบกับฐานต่ำของปีก่อนมีโอกาสสูงที่จะเกิดเหตุการณ์ Sell in May โดยการย่อตัวลงเป็นโอกาสที่ดีในการสร้าง Position เนื่องจากเศรษฐกิจไทยดูเหมือนจะเกิดภาวะ Quasi-reflation ในครึ่งปีหลัง 2565

ด้านเศรษฐกิจไทยอาจจะได้รับผลกระทบจากวิกฤตรัสเซียโดยตรงไม่มากนัก แต่ผลกระทบโดยอ้อมผ่านราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้นจะกระทบกับเงินเฟ้อและนโยบายการเงินมากกว่าวิกฤตพลังงานทำให้เศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ Stagflation ในอีก 3 – 6 เดือนข้างหน้า สำหรับนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นเป็นความเสี่ยงด้านนโยบายที่อาจส่งผลทำให้เศรษฐกิจเข้าสู่ภาวะถดถอยในอีก 12 เดือนข้างหน้า ซึ่งเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะขยายตัวในอัตราต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ 3.63% ในขณะที่ความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะ Stagflation ย่อมมีมากขึ้น

ส่วนความเสี่ยงด้านการส่งผ่านทางการเงินมีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับที่สามารถจัดการได้ แต่ความเสี่ยงในการโอนย้ายและการปรับโครงสร้างพอร์ตลงทุนอาจต้องใช้เวลาในการจัดการ SCBS มองว่าหุ้นเชิงรับจะปรับตัว Outperform ได้อย่างต่อเนื่อง หุ้นพลังงานต้นน้ำเป็นตัวเลือกที่ดีในการป้องกันความเสี่ยงจากภาวะเงินเฟ้อสูง โดยยังคงชอบหุ้นคุณภาพที่มีค่า Beta ต่ำเพื่อลดผลกระทบจากความผันผวน

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน มองภาพรวมปี 2565 เน้นไปที่ธีมมหภาคและจุลภาคประกอบด้วย 1) หุ้นที่มีอำนาจในการกำหนดราคาสูง (มาร์จิ้นสูงและมีเสถียรภาพ), 2) หุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศ, 3) หุ้นเติบโตที่มีราคาสมเหตุสมผล และ 4) หุ้นคุณภาพ ให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้นเชิงรับเพื่อยึดหลักความระมัดระวังในช่วงที่มีความไม่แน่นอนค่อนข้างสูง โดยเชื่อว่าหุ้น Domestic ที่มีอำนาจในการกำหนดราคาสูงและงบดุลแข็งแรงน่าจะได้รับความสนใจมากกว่าหุ้นที่อิงกับวัฏจักรเศรษฐกิจโลก ซึ่งมีแนวโน้มที่จะได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกหนักกว่าหุ้น Domestic

นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นไปที่หุ้นที่สามารถรับมือกับราคาน้ำมันและเงินเฟ้อสูง โดยหุ้นเด่นในไตรมาส 2/2565 คือ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT, บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS, บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC, บริษัท กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF และ บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP

AOT : เป็นตัวแทนของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย ซึ่งคาดผลการดำเนินงานจะฟื้นตัวดีขึ้นจากแผนเดินหน้าสู่การเปิดประเทศ ขณะที่ Valuation น่าสนใจ หลังราคาหุ้นปัจจุบันยังเทรดต่ำกว่าก่อนเกิด COVID-19 อยู่ 12%

BDMS : ทนทานความผันผวนของตลาดได้ดีและมีพื้นฐานแกร่ง โดยปี 2565 คาดกำไรเติบโต 21% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากจำนวนผู้ป่วยทั้งไทยและต่างชาติที่เพิ่มขึ้นหลังจากสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย

CRC : คาดผลประกอบการมีแนวโน้มเติบโตดีที่สุดในกลุ่มพาณิชย์ในปี 2565 จากยอดขายค้าปลีกและรายได้ค่าเช่าที่ฟื้นตัว การขยายสาขาเชิงรุก และอัตรากำไรที่ปรับตัวดีขึ้นตามเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวและไม่มีการล็อกดาวน์

GULF : แนวโน้มกำไรขยายตัวต่อเนื่องจากกำลังการผลิตของโรงไฟฟ้าใหม่ IPP ที่มีความเสี่ยงต่ำด้านต้นทุนพลังงานและการขยายธุรกิจไปยังธุรกิจใหม่ๆ โดยเฉพาะธุรกิจดิจิทัล

PTTEP : ได้ประโยชน์จากราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้น หลังตลาดกังวลอุปทานน้ำมันตึงตัว

Back to top button