เปิดโฉม “ท็อป 5” หุ้นบลูชิพ Q1 วิ่งแรง! CRC นำทีมโกยรีเทิร์น 24% เก็งผลงานฟื้นตัว
เปิดโฉม 5 อันดับแรกหุ้น “บลูชิพ” ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นสูงสุดในช่วงไตรมาส 1/65 พบ CRC นำทีมโกยรีเทิร์น 24% คาดนักลงทุนเข้าซื้อเก็งกำไร ลุ้นผลงานฟื้นตัวแกร่ง หลังเปิดประเทศ มาตรการควมคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ผ่อนคลายขึ้น
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ทำการสำรวจความเคลื่อนไหวราคาหุ้นช่วงไตรมาส 1/2565 โดยได้คัดเลือกจากหุ้นในกลุ่มดัชนี SET50 ที่ราคาปรับตัวขึ้นแรง 5 อันดับแรกของกลุ่ม ซึ่งเปรียบเทียบข้อมูลราคาหุ้น ณ วันที่ 30 ธ.ค.2564 – 31 มี.ค.2565 โดยเรียงลำดับราคาหุ้นปรับตัวขึ้นแรงมากสุดไปหาน้อยสุด ประกอบด้วย CRC, PTTEP, MINT, GLOBAL, KBANK ดังตารางประกอบ
ทั้งนี้ปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาหุ้นมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น ท่ามการผันผวนของตลาดหุ้นในช่วงไตรมาส 1/2565 ที่ผ่านมานั้น คาดว่านักลงทุนเข้าซื้อเก็งกำไร ตามแนวโน้มผลการดำเนินงานฟื้นตัวขึ้นอย่างโดดเด่น หลังจากมีการเปิดประเทศ และผ่อนคลายมาตรการควบคุมป้องกันโควิด-19 ระบาด
อันดับที่ 1 บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC โดยบล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ (5 เม.ย.2565) ว่า โมเมนตัมยอดขายในไตรมาส 1/2565 อยู่ในระดับสิบต้นถึงกลาง สอดคล้องไปกับเป้าหมายปี 2565 ที่เติบโต 15-20% จำนวนผู้ใช้บริการในศูนย์การค้าเพิ่มขึ้นเป็น 80-85% ของระดับปี 2562 เป็นระดับที่ดีเมื่อเทียบกับปี 2564 คาดรายได้ค่าเช่าจะเป็นอีกปัจจัยหนุนกำไรของ CRC ในปี 2565 อย่างไรก็ตามราคาหุ้นให้ผลตอบแทนมากกว่า SET ที่ 22% นับตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน มองว่าตัวเลขการดำเนินงานที่ดีสะท้อนในราคาหุ้นแล้ว คงคำแนะนำ “ถือ” ราคาเป้าหมาย 42 บาท
อันดับที่ 2 บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP โดยบล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุในบทวิเคราะห์ (5 เม.ย.2565) คาดกำไรไตรมาส 1/2565 อยู่ที่ 1.03 หมื่นล้านบาท โดยหากไม่รวมขาดทุนจาก Hedging คาดกำไรปกติโดดเด่นมากที่ 1.87 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 10% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 387% เมื่อเทียบจากปีก่อน จากราคาขายเฉลี่ยที่ปรับขึ้นเด่นตามราคาน้ำมันดิบและราคาก๊าซเพิ่มขึ้น รวมถึงปริมาณขายก็เพิ่มขึ้น ทั้งนี้คาดกำไรไตรมาส 2/2565 แข็งแกร่งขึ้น ตามปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น และขาดทุนจาก Hedging ลดลงมาก มองว่า PTTEP ยังน่าสนใจหากราคาน้ำมันดิบไม่ปรับลดลงแรงตามปริมาณขายและราคาขายที่เพิ่มขึ้น แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 166 บาท
อันดับที่ 3 บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT โดยบล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ (4 มี.ค.2565) แนะนำ “ซื้อ” ประเมินราคาเป้าหมายที่ 43 บาท คาดผลขาดทุนปกติในไตรมาส 1/2565 ราว 1.50 พันล้านบาท ดีขึ้นเทียบกับปีก่อนที่ขาดทุน 5.21 พันล้านบาท เพราะสถานการณ์ COVID ในยุโรปดีขึ้นเมื่อเทียบจากปีก่อน และหลายประเทศในยุโรปเริ่มยกเลิกมาตรการคุม COVID ให้ประชาชนกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ แต่ผลการดำเนินงานแย่ลงจากที่มีกำไร 1.66 พันล้านบาท ในไตรมมาส 4/2564 เพราะโรงแรมในยุโรปเป็น low seasonคงประมาณการทั้งปี 2565 พลิกกลับมามีกำไรปกติที่ 2.5 พันล้านบาท
อันดับที่ 4 บริษัท สยามโกลบอลเฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GLOBAL โดยบล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (28 มี.ค.2565) คาดผลประกอบการไตรมาส 1/2565 ทำสถิติสูงสุดใหม่อยู่ที่ 982 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.7% เมื่อเทียบจากปีก่อน และเพิ่มขึ้น 31.5% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน ตามยอดขายที่ปรับตัวดีขึ้น แม้มาร์จิ้นชะลอตัวเล็กน้อย แต่ได้ส่วนชดเชยจากคุม SG&A ได้ดี และรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเข้ามามากขึ้น และคาดกำไรสุทธิทั้งปีไว้ที่ 3,576 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.9% เมื่อเทียบจากปีก่อน แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 26 บาท
อันดับที่ 5 ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) KBANK โดยบล.พาย ระบุในบทวิเคราะห์ (8 เม.ย.2565) แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 174 บาท คาดกำไรสุทธิในไตรมาส 1/2565 เพิ่มขึ้น 6% เมื่อเทียบจากปีก่อน เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิสูงขึ้น และควบคุมค่าจ่ายได้ดี ขณะที่การปรับลดอันดับเครดิตของ S&P Global Rating จาก “BBB+” เป็น “BBB” ส่งผลกระทบจำกัดต่อ KBANK