FSSIA ยก 6 หุ้นน่าเก็บ รับมือราคาน้ำมันสูง-หั่น “จีดีพี” ปีนี้
FSSIA คงแนะนำ Overweight ในตลาดหุ้นไทย ลดเป้า SET Index เหลือ 1,854 จุด ยก 6 หุ้นน่าเก็บ PTTEP, SCB, EA, NEX, ONEE, ADVANC เตรียมพร้อมรับมือราคาน้ำมันสูงขึ้น หั่น “จีดีพี” ไทยปีนี้
นายทรงกลด วงศ์ไชย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ที่ปรึกษาการลงทุน เอฟเอสเอส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด หรือ FSSIA ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ตลาดหุ้นไทยถึงจะฟื้นตัวช้า แต่ยังไม่ตกรางจากการเติบโตบนความเสี่ยงที่สูง โดยฝ่ายวิเคราะห์ลดเป้าหมาย SET Index ในปี 2565 ลงเหลือ 1,854 จุด สะท้อนถึงผลกระทบจากการรุกรานของรัสเซียในยูเครน รวมถึงราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกที่ช้าลง
ทั้งนี้สถานการณ์สงครามในยูเครนทำให้เกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อในระยะยาวขึ้น และมีผลกระทบที่กว้างขึ้น โดยเฉพาะจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น จึงทำให้ FSSIA ปรับมุมมองบวกต่อหุ้นไทยในปีนี้น้อยลง เชื่อว่าปรากฏการณ์ระลอกคลื่น (Ripple Effect) ในตลาดการเงินทั้งในไทย และต่างประเทศมีความเสี่ยงทำให้บริษัทจดทะเบียนมีการทำกำไรที่ช้าลงเล็กน้อย หลักๆ จากราคาต้นทุนน้ำมันดิบที่สูงขึ้น
อย่างไรก็ดีภายใต้มุมมองของฝ่ายวิเคราะห์ที่เงินเฟ้อเพิ่มขึ้น และอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจลดลง โดยทางฝ่ายวิเคราะห์ได้คำนวณ ความเสี่ยงต่อราคาไว้ในประมาณการใหม่ไว้แล้ว ซึ่งรวมถึง 1) BNP Paribas ปรับคาดการเติบโต GDP ปี 2565 ลงจาก 3.6% เป็น 2.9% ก่อนจะปรับเพิ่มขึ้นแตะ 4.5% ในปี 2566 2) BNP ปรับเพิ่มอัตราเงินเฟ้อปี 2565 จาก 1.1% เป็น 4.3% และจะลดลงแตะ 2.2% ในปี 2566 แต่ยังสูงกว่าคาดการณ์ก่อนหน้าที่วางไว้ 1.1% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นที่รุนแรงกว่าที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แถลงการณ์ปรับตัวเลขก่อนหน้านี้ โดยธปท.ปรับอัตราเงินเฟ้อจาก 1.7% เป็น 4.9% สำหรับปี 2565 และจาก 0.7% เป็น 1.7% ในปี 2566
รวมทั้ง 3) BNP คาดอัตราดอกเบี้ยในปี 2565 จะคงอยู่ที่ 0.50% และจะปรับขึ้นเป็น 1.25%ในปี 2566 4) จำนวนนักท่องเที่ยวคาดลดลงในปี 2565 จาก 16 ล้านคน เป็น 10 ล้านคน และในปี 2566 จาก 30 ล้านคน เป็น 25 ล้านคน และ 5) ราคาน้ำมันดิบที่ปรับสูงขึ้น จากเดิมคาด $75/bbl เป็น $100/bbl ในปี 2565 และจาก $70/bbl เป็น $90/bbl ในปี 2566 สะท้อนผลกระทบจากสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน
อย่างไรก็ตาม FSSIA มองว่าการเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของ Fed จะส่งผลกระทบเพียงเล็กน้อยต่อ SET Index และเงินทุนต่างชาติที่ไหลออก จาก 1) ประเทศไทยมีหนี้ต่างประเทศต่ำ โดยมีอัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อผลผลิตมวลรวมภายในประเทศ (Debt-to-GDP) อยู่ที่ 36.6% ซึ่งอยู่ในระดับครึ่งของของปี 2540 ที่มีอัตราส่วนหนี้อยู่ที่ 72.9% 2) อัตราเงินสำรองจากการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศต่อผลิตมวลรวมภายในประเทศ (Foreign Reserve-to-GDP Ratio) ที่อยู่ในระดับ all-time high
รวมทั้ง 3) ดุลยภาพระหว่างพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ อายุ 10 ปี และ พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปี 4) การบริหารนโยบายลอยตัวเงินบาทของธปท.เมื่อเทียบกับนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ในปี 2540 และ 5) ประเทศไทยมีดุลบัญชีเดินสะพัดที่สมบูรณ์
ทั้งนี้ FSSIA เชื่อว่าธปท.จะไม่เดินตามนโยบายของ Fed โดยคาดว่าจะยังไม่ขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ และจะเริ่มขยับขึ้นเมื่อดอกเบี้ยสหรัฐฯปรับตัวขึ้นถึง 1.50-1.75% ซึ่งอ้างอิงจากประวัติการขึ้นดอกเบี้ยของธปท.
โดย FSSIA คงคำแนะนำ Overweight ในตลาดหุ้นไทย และปรับลดเป้าหมายดัชนี SET Index ลงเหลือ 1,854 จุดในปี 2565 และลด EPS ลงจาก 110 บาท เหลือ 107 บาท หลังปรับประมาณการราคาน้ำมันสูงขึ้น และลดอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจไทยลง โดยคาดว่า SET Index จะกลับตัวในกรอบดัชนี 1,680-1,720 จุด และยกหุ้น PTTEP, SCB, EA, NEX, ONEE และ ADVANC เป็นหุ้นแนะนำ
บริษัท ปตท. สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP ประเมินราคาเป้าหมายที่ 176 บาท โดย FSSIA ปรับ EPS ปี 2565-2567 ขึ้น 13-19% เพื่อให้เท่ากับประมาณการราคาน้ำมันที่สูงขึ้น 29-33% แตะ $100/90/90 ต่อบาร์เรลในปี 2565-2567 โดยยังยกให้ PTTEP เป็นหุ้นท็อปพิกในกลุ่มต้นน้ำของน้ำมันและก๊าซ บนพื้นฐานประมาณการณ์ที่ทุกๆ การปรับตัวขึ้นของน้ำมันดิบ 1% จะส่งผลให้ PTTEP มีกำไรเพิ่มขึ้น 1.3-2.0% ซึ่งขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำมันที่ขาย อย่างไรก็ตาม จากการที่ PTTEP มีสัดส่วนการผลิตที่ลดลงอยู่ที่ 27% ในปี 2565-2567 ดังนั้น FSSIA จึงคาดว่าบริษัทมีส่วนลดในทางมูลค่าที่สูงกว่าคู่แข่งในภูมิภาคราว 15-20%
ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ประเมินราคาเป้าหมายที่ 160 บาท โดย FSSIA ระบุว่า SCB เป็นหุ้นท็อปพิกสำหรับการลงทุนในระยะยาว โดยยังคงมุมมองต่อการเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่จะช่วยให้สามารถเจาะกลุ่มอุตสาหกรรมกู้ยืมที่มีความเสี่ยงสูงแต่ให้ผลตอบแทนที่ดี ดังนั้น FSSIA จึงมองว่า SCB อยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมที่สุดในกลุ่มธนาคารที่จะได้รับประโยชน์จากยุคดิจิทัลในภูมิภาค นอกจากนั้นแล้ว ROE ยังน่าจะอยู่ในช่วงพัฒนาอีกด้วยเช่นกัน
ทั้งนี้ FSSIA ชี้ให้เห็นว่าราคาหุ้นที่ underperform ตั้งแต่เดือนก.พ.นั้นสาเหตุมาจากธุรกรรม SWAP ระหว่าง SCB กับ SCBX ตั้งแต่ 2 มี.ค. ถึง 18 เม.ษ. 2565 ซึ่งธุรกรรมนี้ทำให้มีสภาพคล่องของหุ้นที่ซื้อขายต่ำใน NVDR ซึ่งไม่สามารถซื้อหุ้น SCB ได้ในช่วงนั้น นอกจากนั้นแล้ว นักลงทุนที่เข้า SWAP ดีลยังไม่สามารถเทรดหุ้น SCB ได้ในช่วง 18 เม.ษ.ถึงสิ้นเดือน จึงเป็นผลให้นักลงทุนที่ไม่สามารถถือสัญญา (position) ไว้ได้ต้องเทขายหุ้นออกมาในช่วงนั้น และคาดว่า ราคาหุ้น SCB จะ Outperform ได้หลังช่วง SWAP
บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ประเมินราคาเป้าหมาย 122 บาท โดย FSSIA คาดว่าอัตราการเติบโตของกำไรจะเร่งตัวในไตรมาส 1/2565 เป็นต้นไปเพื่อดันการเติบโตของกำไรในปี 2565-2567 ผลักดันโดย S-Curve หลายโครงการ ซึ่งรวมถึงการส่งมอบ e-bus 2,000-3,000 คันในปีนี้ และโรงงานแบตฯ 1GWh เฟส 1 เพื่อจับเทรนด์ความต้องการสำหรับ e-bus และ e-truck ความเป็นไปได้ของอัพไซด์อาจมาจากออเดอร์ EV ที่สูงในปีนี้ และการก่อสร้างสถานีชาร์จรถ EV ที่กำลังดำเนินอยู่
บริษัท เดอะ วัน เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ONEE ประเมินราคาเป้าหมายที่ 14 บาท โดยราคาหุ้น ONEE ซื้อขายต่ำกว่าคู่แข่งในกลุ่มอย่าง BEC (FSSIA แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 18.60 บาท) โดย FSSIA มองว่าการเติบโตของกำไรอยู่ในระดับเดียวกัน แต่ ONEE ซื้อขายด้วย P/E ที่ต่ำกว่า นอกจากนั้นยังชี้ให้เห็นว่า ONEE มี P/E ต่ำที่สุดในกลุ่ม TV ที่อยู่ภายใต้การวิเคราะห์ของ FSSIA ดังนั้นจึงมองว่า ONEE ควรจะซื้อขายอยู่ใน P/E ระดับเดียวกับ BEC ทั้งนี้ราคาเป้าหมายที่ 14 บาทนั้นมี P/E ปี 2565 อยู่ที่ 33 เท่า ซึ่งยังต่ำกว่าการประเมินของ BEC ที่ 35 เท่า
บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ประเมินราคาเป้าหมายที่ 260 บาท โดย FSSIA คงคำแนะนำให้ลงทุนใน ADVANC ก่อนไตรมาส 1/2565 จนถึงสิ้นไตรมาส ซึ่งจากการวิเคราะห์พบว่า ADVANC เป็นหนึ่งในหุ้นที่มีรีเทิร์นสูงที่สุดในกลุ่มผู้ให้บริการโทรศัพท์ในไตรมาสที่ 1
บริษัท เน็กซ์ พอยท์ จำกัด (มหาชน) หรือ NEX ประเมินราคาเป้าหมายที่ 26 บาท โดย FSSIA คงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น NEX มองว่า NEX จะเป็นผู้เล่นอันดับต้นๆ ของไทยในกลุ่มรถ EV ผ่านการทำ JV กับ EA ซึ่งเป็นผลมาจากการที่เป็นผู้นำเทรนด์แรกๆ และจับจังหวะการออกมาตรการช่วยเหลือ EV ของรัฐบาลได้ดี ทำให้บริษัท JV ของ NEX และ EA จะสามารถถือครองส่วนแบ่งตลาดได้ และคว้าแบ๊คล็อกออเดอร์รถ e-bus สูงถึง 2,000 คัน และ e-truck อีก 1,000 คันในปี 2565