“วิจัยกรุงศรี” คาดเงินเฟ้อปี 65 เฉลี่ย 4.8% กระทบค่าใช้จ่ายครัวเรือน-ต้นทุนธุรกิจพุ่ง

“วิจัยกรุงศรี” คาดเงินเฟ้อปี 65 เฉลี่ย 4.8% หลังราคาพลังงานสูงจากสถานการณ์ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน กระทบค่าใช้จ่ายครัวเรือน-ต้นทุนธุรกิจพุ่ง คาดกลุ่มผู้มีรายได้น้อยต้องเผชิญเงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นกว่า 6 เท่าเมื่อเทียบกับปีก่อน


วิจัยกรุงศรี ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) หรือ BAY เปิดเผยว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปในช่วงนี้จะยังยืนอยู่เหนือกรอบเป้าหมาย ซึ่งเป็นผลมาจากราคาพลังงานที่สูงขึ้นจากผลของสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน แต่เงินเฟ้อจะเริ่มชะลอตัวลงได้ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี ส่งผลให้คาดว่าทั้งปีอัตราเงินเฟ้อจะเฉลี่ยที่ระดับ 4.8%

วิจัยกรุงศรีคาดอัตราเงินเฟ้อในปี 2565 เฉลี่ยอยู่ที่ 4.8% จากแรงหนุนของราคาอาหารเพื่อบริโภคที่บ้าน และราคายานพาหนะ อีกทั้งราคาพลังงานที่พุ่งขึ้นตามสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อของไทยยืนอยู่เหนือกรอบเป้าหมาย และอาจใช้เวลาถึงไตรมาสสุดท้ายของปี กว่าที่จะมีแนวโน้มปรับตัวลดลง” บทวิเคราะห์ระบุ

โดยขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเดือนมีนาคม 2565 เพิ่มขึ้น 5.73% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเพิ่มขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับสูงสุดในรอบ 13 ปี ซึ่งได้สร้างความกังวลต่อค่าครองชีพของครัวเรือน และยังเพิ่มขึ้น 5.28% จากเดือนกุมภาพันธ์ 2565  สาเหตุสำคัญจากราคาพลังงานในตลาดโลกที่เร่งสูงขึ้นจากสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน ส่งผลให้ราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงในประเทศปรับสูงขึ้นมาก (31.4% เมื่อเทียบจากปีก่อน)

นอกจากนี้ ราคาสินค้าในหมวดอาหารที่มีการปรับตัวสูงขึ้น ได้แก่ ไข่ไก่ ผักสด และเครื่องประกอบอาหาร ด้านอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน (หักราคาหมวดอาหารสดและพลังงาน) ในเดือนมีนาคม 2565 เพิ่มขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบเกือบ 10 ปี ที่ 2.0% จากระดับ 1.80% ในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 สำหรับในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วไป และอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยอยู่ที่ 4.75% และ 1.43% ตามลำดับ

โดยวิจัยกรุงศรี วิเคราะห์ว่า อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นมาก โดยแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคม 2551 และอยู่เหนือกรอบของเงินเฟ้อเป้าหมายของทางการต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 โดยการปรับขึ้นของอัตราเงินเฟ้อส่วนใหญ่มาจากราคาพลังงาน แม้ว่าราคาไม่ได้เพิ่มขึ้นในทุกชนิดสินค้า แต่กลับสร้างความกังวลให้แก่สังคมเกี่ยวกับผลกระทบต่อภาระค่าใช้จ่ายและกำลังซื้อ และเป็นปัจจัยหนึ่งที่ฉุดดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมีนาคม 2565 ร่วงลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3 สู่ระดับต่ำสุดในรอบ 6 เดือนที่ 42.0 จาก 43.3 เดือนกุมภาพันธ์

โดยผลการศึกษาของวิจัยกรุงศรี พบว่าจากบริโภคสินค้าที่มีความแตกต่างกัน โดยกลุ่มคนรายได้ต่ำจะมีสัดส่วนการใช้จ่ายในหมวดอาหารเพื่อบริโภคที่บ้านและการขนส่ง รวมกันราว 2 เท่าของกลุ่มคนรายได้สูง จึงมีโอกาสเผชิญเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นกว่า 6 เท่า เมื่อเทียบกับปีก่อน สวนทางกับกลุ่มคนรายได้สูงที่เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นไม่มากเมื่อเทียบกับปี 2564

ด้านความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนมีนาคม 2565 มีสัญญาณฟื้น แต่ยังมีหลายปัจจัยเสี่ยงที่อาจกดดันการเติบโตในระยะข้างหน้า ล่าสุด ดัชนีความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรมเดือนมีนาคม กลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบ 25 เดือนที่ 89.2 จาก 86.7 ปัจจัยหนุนจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจในประเทศที่ฟื้นตัว ตามการผ่อนคลายมาตรการควบคุมการระบาด รวมถึงการฟื้นตัวของนักท่องเที่ยวต่างชาติจากหลายๆ ประเทศทยอยผ่อนคลายมาตรการจำกัดการเดินทางระหว่างประเทศ นอกจากนี้ ในเดือนมีนาคม ผู้ประกอบการมีการเร่งการผลิตสินค้าเพื่อส่งมอบก่อนวันหยุดยาวในช่วงเทศกาลสงกรานต์

ทั้งนี้ วิจัยกรุงศรี ประเมินว่า แม้การผลิตภาคอุตสาหกรรมในช่วงต้นปี จะมีสัญญาณเชิงบวกจากการฟื้นตัวของอุปสงค์ทั้งในและต่างประเทศ แต่ในระยะถัดไป ปัจจัยกดดันจากสถานการณ์ความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ที่มีความเสี่ยงอาจลากยาวมากขึ้น กระทบเศรษฐกิจโลกและการค้าชะลอลง ส่งผลต่อภาคการส่งออก และภาคการผลิตอุตสาหกรรมของไทย ขณะที่ราคาพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้นมาก จะส่งผลต้นทุนการผลิตและการขนส่งสินค้า

นอกจากนี้ ปัจจัยเสี่ยงจากภาวะชะงักงันของอุปทานของโลก หากสถานการณ์การล็อกดาวน์ของจีนเพื่อควบคุมการระบาดของโควิด-19 ระลอกล่าสุดมีแนวโน้มยืดเยื้อและเป็นวงกว้างมากขึ้น เนื่องจากมีการประเมินว่าการผลิตภาคอุตสาหกรรมของไทยมีการใช้ input จากจีน คิดเป็นสัดส่วนเมื่อเทียบกับมูลค่าผลผลิตรวมทั้งหมด (gross value added) สูงสุดเป็นอันดับ 3 รองจากเวียดนาม และฮ่องกง

Back to top button